เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าพบหารือกับนายยุน บยอง-เซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ในระหว่างเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๔ เพื่อชี้แจงและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย ประเด็นความสัมพันธ์ทวิภาคี และสถานการณ์ในภูมิภาค สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

ปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงสถานะล่าสุดของการดำเนินการตาม Roadmap สามขั้นตอนของ คสช. ซึ่งมาถึงการประกาศใช้ธรรมนูญชั่วคราว การตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้ว เพื่อนำประเทศไทยกลับสู่กระบวนการประชาธิปไตยที่มั่นคงและยั่งยืน รวมถึงการขับเคลื่อน โครงการที่ยังคงค้างต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งฝ่ายเกาหลีใต้ได้ติดตามสถานการณ์ในประเทศอย่างใกล้ชิดในฐานะหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยหวังว่าไทยจะประสบความสำเร็จในการทำตาม Roadmap ตามกำหนดเวลา และผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านไปได้อย่างมั่นคง

ในประเด็นความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าต้องเดินหน้าสานต่อความร่วมมือ โดยเฉพาะความร่วมมือด้านเศรษฐกิจต่อไป เพื่อบรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้าร่วมกัน ๓๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ๒๐๑๗ โดยขณะนี้ทั้งสองประเทศอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องการจัดทำความตกลงหุ้นส่วน ทางเศรษฐกิจที่รวมถึงการค้าเสรีด้วย ทั้งนี้ ฝ่ายเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำร่วมกับไทย และประเด็นการจัดระเบียบการเข้าเมืองโดยวิธีการขอตรวจลงตราซ้ำ (Visa run) ของชาวเกาหลี ส่วนไทยได้หยิบยกประเด็นเรื่องการเปิดตลาดและลดข้อจำกัดทางการค้าของสินค้าไทย อาทิ ผลิตผลทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แช่แข็ง

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาค โดยฝ่ายเกาหลีใต้ได้ขอให้ไทยและอาเซียนมีท่าทีร่วมกันต่อท่าทีของเกาหลีเหนือ เพื่อขอให้เกาหลีเหนือลดการกระทำที่เป็นการยั่วยุ หรือมุ่งไปสู่การปะทะ พร้อมกับเปิดประตูไปสู่การเจรจาร่วมกันโดยสันติวิธีซึ่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวแสดงความยินดีที่เกาหลีใต้มีนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการลดความตึงเครียดในภูมิภาค และได้ชี้แจงถึงบทบาทของไทยในประเด็นทะเลจีนใต้ในฐานะประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน - จีน ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน และการประชุมที่เกี่ยวข้องในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ จะเป็นเวทีที่ทุกฝ่ายจะสามารถหารือในประเด็นความมั่นคง และสถานการณ์ในภูมิภาคต่าง ๆ ได้ต่อไป