ในช่วงระหว่าง ๘-๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๖ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีกำหนดเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ตามคำเชิญของผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และเดินทางเยือนประเทศอาเซียน ๓ ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย และสาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อแนะนำตัวและกระชับความร่วมมือระหว่างกันทั้งในมิติทวิภาคีและความร่วมมือในภูมิภาค

วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๖ นายกรัฐมนตรีจะพบหารือกับนายจอห์น ลี คา-ชิว ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีจะพบปะกับนักธุรกิจและภาคเอกชนที่สำคัญของฮ่องกงเพื่อเชิญชวนให้มาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทยมากขึ้นด้วย

วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๖ นายกรัฐมนตรีจะเดินทางต่อไปเยือนประเทศบรูไนฯ เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ในฐานะที่ทรงเป็นผู้นำที่อาวุโสสูงสุดในอาเซียน รวมถึงหารือเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและบรูไนฯ ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในทุกด้าน ทั้งนี้ การค้าระหว่างไทยกับบรูไนฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ มีมูลค่า ๗๙๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น ๒.๙ หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๙ เทียบกับปีก่อนหน้า และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๖ นายกรัฐมนตรีจะพบหารือกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับมาเลเซียให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะการค้าการลงทุน ความมั่นคง การพัฒนาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทยและภาคเหนือของมาเลเซีย ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของสองประเทศ ทั้งนี้ ในปี ๒๕๖๕ มาเลเซียเป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของไทยในอาเซียนและอันดับที่ ๔ ของไทยในโลก มีมูลค่าการค้ารวมมากกว่า ๒.๗ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น ๑ ล้านล้านบาท รวมถึงเป็นผู้ลงทุนอันดับ ๒ จากอาเซียนในไทย และอันดับ ๙ ในโลก

วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๖ นายกรัฐมนตรีจะหารือกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในด้านต่าง ๆ และจะพบหารือกับภาคธุรกิจของสิงคโปร์เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ สิงคโปร์เป็นคู่ค้าและนักลงทุนที่สำคัญของไทย โดยเป็นคู่ค้าอันดับที่ ๔ ของไทยในอาเซียนและอันดับที่ ๘ ของไทยในโลก มูลค่าการค้าระหว่างกันมากกว่า ๑.๘ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น ๖.๘ แสนล้านบาท และเป็นผู้ลงทุนอันดับ ๑ จากอาเซียนในไทยมากว่า ๑๐ ปี และอันดับ ๒ ในโลก

การเยือนทั้ง ๓ ประเทศ และ ๑ เขตบริหารพิเศษ ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เป็นโอกาสที่จะผลักดันความร่วมมือต่าง ๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการยกระดับความกินดีอยู่ดีของประชาชนของไทย