เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ร่วมกับศูนย์ศึกษาการค้าอาเซียนและลาตินอเมริกา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้จัดการสัมมนาในหัวข้อ “โอกาสและศักยภาพทางการค้าการลงทุนของไทยในตลาดใหม่ : บราซิล โคลอมเบีย เม็กซิโก และแคนาดา” ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ ภายในงานมีตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งสื่อมวลชนที่สนใจ เข้าร่วมงานจำนวนมาก การสัมมนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินโครงการนำคณะนักธุรกิจไทยเยือนประเทศในลาตินอเมริกาภายใต้กรอบโครงการความเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับลาตินอเมริกา (Latin Link) ระหว่างวันที่ ๒๙ กันยายน – ๙ ตุลาคม ๒๕๕๗ และผลการเยือนประเทศแคนาดาของนักธุรกิจไทยระหว่างวันที่ 1 – 7 ตุลาคม 2557 เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองไทย และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์จุดแข็งและโอกาสทางเศรษฐกิจในไทย ทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์ข้อมูลประเทศในภูมิภาคดังกล่าว ซึ่งจะเป็นตลาดและแหล่งวัตถุดิบที่มีศักยภาพต่อประเทศไทยในอนาคต

ในช่วงเช้า นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวเปิดการสัมมนา โดยกล่าวว่า นโยบายการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศนั้น เป็นนโยบายที่รัฐบาลไทยทุกชุดให้การสนับสนุน  ประชาคมอาเซียนกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ การค้าการลงทุนระหว่างประเทศจึงยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น  ดังนั้น การนำคณะนักธุรกิจไทยไปสัมผัสบรรยากาศจริงในประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพ แล้วนำมาจัดสัมมนาเพื่อถ่ายทอดความรู้ จะเป็นประโยชน์ในการสนับสนุนการทำธุรกิจของนักธุรกิจไทย จึงหวังว่า จะมีการนำองค์ความรู้นี้ไปต่อยอดให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ยังได้กล่าวถึงการให้บริการของศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ของกระทรวงการต่างประเทศซึ่งพร้อมที่จะให้การสนับสนุนภาคเอกชนไทยอย่างเต็มที่  

หลังการกล่าวเปิดการสัมมนา นายทรงศัก สายเชื้อ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ ได้กล่าวบรรยายและเสนอแนะข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพทางการค้าการลงทุนของประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกา ได้แก่ บราซิล โคลอมเบีย และเม็กซิโก โดยได้ให้ข้อมูลทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น บราซิลเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพมากโดยเฉพาะด้านพลังงานทดแทน โคลอมเบียประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ประเทศให้กลายเป็นดาวรุ่งทางเศรษฐกิจ และมองประเทศไทยเป็นเป้าหมายสำคัญในภูมิภาคเอเชีย สำหรับเม็กซิโก เป็นประเทศมหาอำนาจขนาดกลางที่เป็นประตูสู่อเมริกาเหนือและอเมริกากลางให้ประเทศไทยได้

จากนั้น ผู้แทนจากภาคเอกชนที่ร่วมเดินทางไปประเทศในลาตินอเมริกา ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นจากประสบการณ์ของการเยือนดังกล่าว โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญในการเดินทางไปสำรวจลู่ทางของตลาดใหม่ๆ เพราะนอกจากจะสามารถนำไปสู่การขยายสาขาทางธุรกิจที่ตนเองทำแล้ว ยังนำไปสู่การสร้างเครือข่ายที่จะนำไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ เช่น บริษัท Interfocus Thailand ซึ่งทำธุรกิจด้านเวชภัณฑ์ สามารถสร้างเครือข่ายกับบริษัทเอกชนที่บราซิล โคลอมเบีย และเม็กซิโก ในการทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอางค์ กาแฟ และน้ำผลไม้  นอกจากนี้ วิทยากรยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของลาตินอเมริกาซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ และการเดินทางไปลาตินอเมริกากับภาครัฐ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ ก็จะสนับสนุนให้บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมของไทยได้พบกับหน่วยงานส่งเสริมการค้าการลงทุนของประเทศนั้นๆ และจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับภาคเอกชนไทยในการได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และช่วยสร้างเครือข่ายกับภาคเอกชนของประเทศต่างๆ ทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

ในช่วงบ่าย ผู้อำนวยการกองอเมริกาเหนือ ได้บรรยายเรื่องประเทศแคนาดา และความสัมพันธ์ไทย-แคนาดา โดยเห็นว่า ไทยและแคนาดาจะได้รับประโยชน์จากการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และผู้แทนภาคเอกชนที่ร่วมเดินทางไปแคนาดาได้กล่าวถึงประสบการณ์และเสนอข้อคิดเห็นจากการเยือนแคนาดาว่า แคนาดาเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในการเป็นคู่ค้าและการลงทุนกับไทย เนื่องจาก ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง มีประชากรเชื้อสายเอเชียจำนวนมากที่สามารถเป็นตลาดสำหรับสินค้าไทยโดยเฉพาะกลุ่มอาหารพร้อมบริโภค และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ความสร้างสรรค์ในการออกแบบ ไทยจะได้รับประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและเทคโลยีของแคนาดา เช่น ไม้ พลังงาน ซอฟท์แวร์ และ Green Technology อย่างไรก็ตาม อุปสรรคต่อการขยายการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับแคนาดาคือทั้งสองฝ่ายไม่รู้จักกันและกันดีพอ จึงต้องส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันให้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คณะนักธุรกิจสองฝ่ายจะได้พบหารือกันในระหว่างการประชุม Canada-ASEAN Business Forum ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศไทยระหว่างวันที่ ๑๘ – ๑๙  มีนาคม ๒๕๕๘