วันที่นำเข้าข้อมูล 11 พ.ย. 2552
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565
บูร์กินาฟาโซ
BURKINA FASO
ที่ตั้ง ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกา ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา ทิศเหนือและตะวันตกติดกับประเทศมาลี ทิศตะวันออกติดกับประเทศไนเจอร์และเบนิน ทิศใต้ติดกับประเทศเบนิน โตโก กานา และ โกตดิวัวร์
พื้นที่ 274,122 ตารางกิโลเมตร หรือ 105,807 ตารางไมล์
เมืองหลวง กรุงวากาดูกู (Ouagadougou)
ประชากร 17 ล้านคน (สถานะ ณ เดือนพฤษภาคม 2554)
ภูมิอากาศ บูร์กินาฟาโซมีภูมิอากาศร้อนและแห้งแล้ง จะมีฝนตกชุกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม โดยเฉพาะทางภาคใต้ของประเทศในขณะที่ทางตอนเหนือซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย จะมีฝนไม่มากนัก ส่วนฤดูแล้ง จะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม อุณหภูมิเฉลี่ยระหว่าง 14–35 องศาเซลเซียส
ภาษา ฝรั่งเศส(ภาษาราชการ) นอกจากนั้นมีภาษา More, Gurma, Fulfulde และ Tamasheq ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมือง ที่ใช้พูดกันทั่วไป
ศาสนา อิสลามร้อยละ 50 ความเชื่อดั้งเดิมร้อยละ 40 คริสต์ร้อยละ 10
หน่วยเงินตรา เงินฟรังก์เซฟา (Communaute Financiere Africaine Franc - XOF)
อัตราแลกเปลี่ยน 526.36 เท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 16.76 ฟรังก์เซฟาเท่ากับ 1 บาท (สถานะ ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2555)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 10.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2554)
รายได้ประชาชาติต่อหัว 1,456 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2554)
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 5.6 (ปี 2554)
ระบอบการปกครอง ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีประธานาธิบดีซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงเป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล ดำรงตำแหน่งวาระละ 5 ปี จำกัดไม่เกิน 2 วาระ1 ปัจจุบัน นายเบลส กอมเปาโอเร (Blaise Compaoré) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นวาระที่ 4 รัฐสภาได้แก่ สภานิติบัญญัติ ซึ่งมีสมาชิก 111 คน ดำรงตำแหน่งวาระละ 5 ปี
การเมืองการปกครอง
บูร์กินาฟาโซ เดิมใช้ชื่อว่า สาธารณรัฐอัปเปอร์โวลต้า (The Republic of Upper Volta) เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมแอฟริกาตะวันตกของฝรั่งเศส ได้รับสิทธิในการปกครองตนเองภายใต้อาณัติของฝรั่งเศสในเดือนธันวาคม 2501 และได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ในวันที่ 5 สิงหาคม 2503
นับแต่ได้รับเอกราชเมื่อปี 2503 บูร์กินาฟาโซต้องประสบกับความขัดแย้งทางการเมืองและระบบการปกครองหลายรูปแบบ อันเป็นสาเหตุหลักที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ การปฏิวัติเมื่อปี 2530 ได้ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในระยะสิบปีที่ผ่านมา การเมืองภายในของบูร์กินาฟาโซค่อนข้างมีเสถียรภาพ โดยมีผลมาจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบอบประชาธิปไตย และการเปิดให้มีพรรคการเมืองหลายพรรคเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมือง สภาวะดังกล่าวได้ส่งผลให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บูร์กินาฟาโซจึงมีความโดดเด่นขึ้นในภูมิภาคและเวทีระหว่างประเทศ นักลงทุนจึงเริ่มเล็งเห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจและโอกาสในการลงทุนในบูร์กินาฟาโซ
กลไกในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ เป็นตัวแปรสำคัญต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ และมีส่วนส่งเสริมความปรองดองในบูร์กินาฟาโซเป็นอย่างมาก ภายหลังประธานาธิบดี Thomas Sankara ถูกลอบสังหารในปี 2530 ประธานาธิบดี Blaise Compaoré (นายเบลส กอมเปาโอเร) ซึ่งสืบทอดอำนาจต่อจากประธานาธิบดี Sankara ได้อาศัยฐานคะแนนเสียงสนับสนุนจากเครือข่ายกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ และสามารถดับชนวนความขัดแย้งก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบอันนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมือง นอกจากนี้ การที่รัฐบาลมีเสียงข้างมากอย่างท่วมท้น ทำให้การดำเนินนโยบายต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นและส่งผลให้มีความต่อเนื่องยิ่งขึ้น อำนาจของประธานาธิบดี Blaise Compaoré จึงขึ้นอยู่กับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้จะต้องคงดุลยภาพทางสังคมระหว่างกลุ่มชนเผ่าพันธ์ต่างๆ เพื่อมิให้เกิดความขัดแย้ง อันอาจนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองได้อีก
ในปี 2543 มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญจากเดิมประธานาธิบดีสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ 7 ปี ลดลงเหลือเพียง 5 ปี รวมทั้งมีการกำหนดให้ประธานาธิบดีสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระ อย่างไรก็ตาม ในปี 2548 ประธานาธิบดี Blaise Compaoré ได้ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 ทั้งนี้ ฝ่ายสนับสนุนของนาย Blaise Compaoré อ้างว่า ขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญนาย Blaise Compaoré ยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงกฎนี้จึงไม่มีผลบังคับใช้จนกว่านาย Blaise Compaoré จะหมดจากอำนาจในปี 2553
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปของบูร์กินาฟาโซ ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสูงมากถึงร้อยละ 54.8 โดยพรรค Congres pour la Democratie et le Progress – CDP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลได้รับเสียงข้างมากถึงร้อยละ 80.2 และหลังจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยนาย Blaise Compaoré ประธานาธิบดีบูร์กินาฟาโซ ได้ประกาศแต่งตั้งนาย Beyon Luc-Adolphe Tiao ซึ่งเคยเป็นอดีตเอกอัครราชทูตบูร์กินาฟาโซประจำประเทศฝรั่งเศส ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้แต่งตั้งนาย Djibrill Yipene Bassole ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต่อ (นาย Bassole ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่ปี 2550)
เศรษฐกิจและสังคม
บูร์กินาฟาโซเป็นประเทศยากจนลำดับต้น ๆ ตามการจัดลำดับของสหประชาชาติ ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารเนื่องจากภัยแล้ง ความเสื่อมของดินซึ่งกำลังแปรสภาพเป็นทะเลทราย (Desertification) การขาดแคลนน้ำ ไม่มีทางออกทางทะเล นอกจากนี้ ยังเผชิญกับปัญหาด้านความมั่นคงมนุษย์ (human security) เช่น อัตราความไม่รู้หนังสือของประชาชนที่มีสูงถึงร้อยละ 78.2 และประชากรมีอายุเฉลี่ยเพียง 47.9 ปี เนื่องจากประสบปัญหาโรคระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเอดส์และมาลาเรีย รัฐบาลจึงให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาสังคมโดยเน้นด้านการศึกษาและการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน
บูร์กินาฟาโซมีทรัพยากรธรรมชาติประเภทแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ แหล่งแร่ธาตุในบูร์กินาฟาโซครอบคลุมพื้นที่ร้อยละ 22 ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติดังกล่าวมิได้เป็นไปอย่างเต็มที่ เนื่องจากยังไม่มีการพัฒนากิจการเหมืองแร่อย่างจริงจัง การสำรวจแหล่งแร่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นและส่วนใหญ่ยังมิได้มีการขุดเจาะ
บูร์กินาฟาโซเป็นประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพึ่งพา โดยต้องอาศัยความช่วยเหลือจากต่าง ประเทศมาโดยตลอด นอกจากนี้ บูร์กินาฟาโซยังได้รับผลกระทบจากการลดค่าเงินฟรังก์เซฟา (Franc CFA) ของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก เมื่อปี พ.ศ. 2537 ภายใต้นโยบายการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจตามคำแนะนำของกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก ซึ่งมีผลทำให้บูร์กินาฟาโซ ต้องขาดดุลการชำระเงินเป็นจำนวนมากในการสั่งสินค้าเข้า อย่างไรก็ดี บูร์กินาฟาโซประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการดำเนินนโยบายปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ อันนำมาซึ่งความไว้วางใจจากกลุ่มประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือ ทำให้บูร์กินาฟาโซได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรเหล่านั้นในการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจและสินค้ามีความสามารถในการแข่งขันกับกลไกราคาในตลาดโลกได้
รากฐานทางเศรษฐกิจของบูร์กินาฟาโซขึ้นอยู่กับการส่งออกสินค้าเกษตรและวัตถุดิบซึ่งมีจำนวนจำกัด อย่างไรก็ดี มูลค่าส่วนใหญ่ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติมาจากรายได้ด้านบริการ การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของบูร์กินาฟาโซ เป็นผลจากการลงทุนทั้งในภาครัฐและเอกชน กอปรกับเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ และการปฏิบัติตามแผนปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งเริ่มใช้เมื่อห้าปีที่แล้ว ตลอดจนการลดค่าเงินฟรังก์เซฟาเมื่อปี 2537 ได้ทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม บูร์กินาฟาโซยังขาดความพร้อมในการรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในการลงทุน ดังนั้น นักลงทุนที่เข้าไปส่วนใหญ่จึงมุ่งไปที่โครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน อันเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาประเทศ โดยในระยะยาวรัฐบาลจะต้องเร่งลดการขาดดุลทางการค้า และหามาตรการรักษาระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้ต่อเนื่อง เพื่อเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนมิใช่เป็นการเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ในช่วงระยะสั้นๆ ของนักลงทุนต่างชาติ
ประธานาธิบดี Blaise Compaoré ได้เคยกล่าวในระหว่างการพบปะกับนักลงทุนว่า บูร์กินาฟาโซมีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจอีกมาก แม้ฐานแรงงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงานที่ไร้ฝีมือ และจะรักษาเสถียรภาพทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยเพื่อสร้างบรรยากาศส่งเสริมเศรษฐกิจและการลงทุนที่ดี ทั้งนี้ เมื่อปี 2550 บูร์กินาฟาโซได้ออกมาตรการรองรับการลงทุนโดยมีการทบทวน ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ศุลกากร เหมืองแร่ และแรงงาน เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่ผู้ลงทุนมากขึ้น นอกจากนั้นกระบวนการยุติธรรมก็ได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาวะทางการเมืองและเศรษฐกิจด้วย โดยเฉพาะการที่จะต้องรองรับระบบเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อนมากขึ้น รวมทั้งการกระจายอำนาจการบริหารสู่ภูมิภาคเพื่อให้หน่วยงานราชการมีอำนาจบริหารอิสระมากขึ้น
รัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่ในการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับการพัฒนาเพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งได้เตรียมมาตรการจูงใจนักลงทุน และรองรับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยเมื่อเดือนมีนาคม 2539 ได้มีการรับรองกฎระเบียบว่าด้วยการทำสัญญาระหว่างคู่ค้า มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รัฐให้มีความรอบรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบการค้าภายใน และกระบวนการรับเงินทุนพัฒนาจากประเทศผู้ให้ นอกจากนี้ มีมาตรการตรวจสอบและควบคุมโครงการพัฒนาของภาครัฐ
นโยบายต่างประเทศ
บูร์กินาฟาโซมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือ อาทิ กลุ่มประเทศในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศฝรั่งเศส และกลุ่มประเทศ EU ลิเบีย และไต้หวัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้พยายามผลักดันบูร์กินาฟาโซให้เป็นสถานที่จัดประชุมนานาชาติของภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก เช่น ในปี 2547 ได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมสหภาพแอฟริกา (African Union) และการประชุมกลุ่มประเทศผู้ใช้ภาษาฝรั่งเศส (Francophonie Summit) อีกทั้งพยายามผลักดันบูร์กินาฟาโซให้เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของภูมิภาคแอฟริกา โดยมีการจัดงานวัฒนธรรมและงานศิลปะนานาชาติ งานที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในภูมิภาคแอฟริกา ได้แก่ งาน Pan-African Cinema and Television Festival of Ouagadougou (FESPACO) ซึ่งเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคแอฟริกาจัดเป็นประจำทุกปี และงาน International Arts and Crafts Show of Ouagadougou (SIAO) ซึ่งเป็นงานแสดงศิลปะหัตถกรรมที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา โดยกำหนดให้มีการจัดงานปีเว้นปี
ความสัมพันธ์ทั่วไป
การทูต
ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับบูร์กินาฟาโซเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2528 โดยมอบหมาย ให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์ มีเขตอาณาทางการทูตครอบคลุมบูร์กินาฟาโซ และได้แต่งตั้งนาย Mahamadi Savadogo ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำบูร์กินาฟาโซ ส่วนบูร์กินาฟาโซได้เคยมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตบูร์กินาฟาโซประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนมีเขตอาณาครอบคลุมไทย แต่เมื่อปี พ.ศ. 2537 สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับบูร์กินาฟาโซ เนื่องจากบูร์กินาฟาโซได้หันไปรับรองและสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน ดังนั้น บูร์กินาฟาโซจึงได้ขอปรับเปลี่ยนเขตอาณาทางการทูตใหม่ โดยให้สถานเอกอัครราชทูตบูร์กินาฟาโซประจำสาธารณรัฐอินเดียมีเขตอาณาครอบคลุมไทย และได้แต่งตั้งนายอนุศักดิ์ อินทรภูวศักดิ์ ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์บูร์กินาฟาโซประจำประเทศไทย
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับบูร์กินาฟาโซ เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาทางการเมืองระหว่างกัน และบูร์กินาฟาโซได้ให้การสนับสนุนไทยในเวทีโลกมาโดยตลอด
เศรษฐกิจ
การค้า
มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับบูร์กินาฟาโซอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก ที่ผ่านมาไทยเป็นฝ่ายเสียดุลการค้ามาโดยตลอด เนื่องจากไทยนำเข้าเส้นใยสำหรับใช้ในการทอเป็นจำนวนมาก ในขณะที่บูร์กินาฟาโซนำเข้าสินค้าไทยเป็นมูลค่าไม่มากนัก ในปี 2554 การค้าระหว่างไทยกับบูร์กินาฟาโซ มีมูลค่า 66.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออกไปยังบูร์กินาฟาโซ มูลค่า 23.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากบูร์กินาฟาโซ มูลค่า 42.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยขาดดุลจำนวน 18.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่ไทยส่งออกไปยังบูร์กินาฟาโซ 10 อันดับแรก ได้แก่ (1) ข้าว (2) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (3) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ (4) รถจักรยานและส่วนประกอบ (5) เสื้อผ้าสำเร็จรูป (6) หม้อแบตเตอรี่และส่วนประกอบ (7) ผลิตภัณฑ์ยาง (8) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (9) ตาข่ายจับปลา (10) ผลิตภัณฑ์พลาสติก สำหรับสินค้าที่ไทยนำเข้าจากบูร์กินาฟาโซ มีเพียงด้ายและเส้นใย
การลงทุน
ปัจจุบันไม่ปรากฏข้อมูลการลงทุนระหว่างกัน
การท่องเที่ยว
ในปี 2554 มีนักท่องเที่ยวชาวบูร์กินาฟาโซเดินทางมาไทย 254 คน และมีคนไทยอยู่ในบูร์กินาฟาโซ 4 คน
ความร่วมมือทางวิชาการ
ปัจจุบันไม่ปรากฏข้อมูลความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกัน
ความร่วมมือในเวทีระหว่างประเทศ
บูร์กินาฟาโซให้เสียงสนับสนุนไทยในการสมัครสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) สำหรับวาระปี ค.ศ. 2017-2018
บูร์กินาฟาโซให้เสียงสนับสนุนไทยในการสมัครสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council – HRC) สำหรับวาระปี ค.ศ. 2015-2017
ความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรม
ในช่วงการประชุม Francophonie (24-25 พฤศจิกายน 2547) บูร์กินาฟาโซได้จัดงาน International Arts and Crafts Show of Ouagadougou และไทยได้ส่งคณะนาฏศิลป์เข้าร่วมงานดังกล่าว ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ร่วมงาน
ความตกลงที่สำคัญ ๆ กับไทย
ความตกลงที่ลงนามไปแล้ว
บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการหารือและความร่วมมือระหว่างไทยกับบูร์กินาฟาโซ (ลงนามเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547)
ความตกลงที่อยู่ในระหว่างการพิจารณา
ไม่มี
การเยือนที่สำคัญ
ฝ่ายไทย
รัฐบาล
ระดับรัฐมนตรี
- วันที่ 27 - 29 มิถุนายน 2542 ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางไปร่วมการประชุม OIC ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ที่กรุงวากาดูกู เมืองหลวงของบูร์กินาฟาโซ
- วันที่ 23 - 24 พฤศจิกายน 2547 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปร่วมการประชุม Francophonie Summit ที่กรุงวากาดูกู
ฝ่ายบูร์กินาฟาโซ
รัฐบาล
ระดับประธานาธิบดี
- วันที่ 18 พฤษภาคม 2547 นาย Blaise Compaoré ประธานาธิบดี แวะผ่านประเทศไทยเพื่อเดินทางไปเข้าร่วมพิธีเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีไต้หวัน
- วันที่ 8 - 11 เมษายน 2548 นาย Blaise Compaoré ประธานาธิบดีบูร์กินาฟาโซ และนาง Chantal Compaoré ภริยา พร้อมด้วย นาย Youssouf Ouedraogo รัฐมนตรีต่างประเทศบูร์กินาฟาโซ เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ (Official Visit)
- วันที่ 18 พฤษภาคม 2551 นาย Blaise Compaoré ประธานาธิบดีบูร์กินาฟาโซ และนาง Chantal Compaoré ภริยา พร้อมด้วยคณะรวม 29 คน แวะผ่านประเทศไทย เพื่อเดินทางต่อไปยังไต้หวัน
ระดับนายกรัฐมนตรี
- วันที่ 24-28 สิงหาคม 2555 นาย Beyon Luc Adolphe Tiao นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนไทยในฐานะแขกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ระดับรัฐมนตรี
- เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2536 นาย Thomas Sanon รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางแวะผ่านประเทศไทย ในการเดินทางจากฮ่องกงไปการาจี
- วันที่ 22 - 23 มิถุนายน 2543 นาย Youssouf Ouedraogo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ
- วันที่ 19 - 22 กรกฎาคม 2547 นาย Youssouf Ouedraogo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนไทยอย่างเป็นทางการอีกครั้งในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ
- วันที่ 24 - 31 ธันวาคม 2547 นาย Youssouf Ouedraogo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบูร์กินาฟาโซเยือนไทยพร้อมครอบครัวในฐานะแขกของรัฐมนตรีต่างประเทศ
- วันที่ 8 - 10 พฤศจิกายน 2547 นาย Seydou Bouda รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการพัฒนาของบูร์กินาฟาโซเดินทางเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีเรื่องทางเลือกในการพัฒนา: เศรษฐกิจพอเพียงที่ประเทศไทย
******************************
กันยายน 2555
กองแอฟริกา กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา โทร. 0-2643-5047-8
วันทำการ : จันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30 น.
(ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
งานรับ-ส่งหนังสือ และงานสารบรรณ:
อีเมล [email protected]
เว็บไซต์นี้ได้รับการออกแบบเพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกคนเข้าถึงเว็บไซต์ได้และมีมาตรฐาน WCAG 2.0 ระดับ AA
** เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุดควรใช้ Chrome เวอร์ชั่น 76 ขึ้นไป **