ประเทศอาเซียนและจีนพร้อมร่วมกันรักษาปฏิบัติการเสรีภาพในการเดินเรือและบินผ่านในทะเลจีนใต้

ประเทศอาเซียนและจีนพร้อมร่วมกันรักษาปฏิบัติการเสรีภาพในการเดินเรือและบินผ่านในทะเลจีนใต้

วันที่นำเข้าข้อมูล 16 ก.พ. 2562

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 24 พ.ย. 2565

| 2,126 view

ASEAN Countries and China would together safeguard freedom of navigation and overflight in the South China Sea

On the occasion of the visit to Thailand of His Excellency Mr. Wang Yi, State Councilor and Minister of Foreign Affairs of the People’s Republic of China on 15 – 16 February 2019, at the invitation of His Excellency Mr. Don Pramudwinai, Minister of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand, the two Ministers held their strategic consultation in Chiang Mai, where they exchanged views on current global and regional development, as well as on future direction and priorities in Thailand – China Relations.

On the issue of the South China Sea, both Ministers discussed latest development in connection with the ongoing dialogue between ASEAN and China on the draft Code of Conduct in the South China Sea (CoC). They welcomed the progress achieved by both sides over the matter, particularly in the negotiation over the single text of the draft COC. Both sides also attached importance to promoting win-win cooperation activities in the South China Sea such as in marine environmental protection.

In relation to the above issue, His Excellency the State Councilor assured the Thai side, currently Chair of ASEAN, of the policy of the Chinese government, like other parties to the 1982 UN Convention on the Law of the Sea (UNCLOS) to safeguard freedom of navigation and overflight in the South China Sea in accordance with the law. China has observed the said position over the years and will continue to do so in the future. He also reiterated that China will continue its efforts to work with other parties to enhance peace and security in the area and ultimately to make the South China Sea a Sea of Peace, Security and Sustainable Development.

                                      *************

                                                                   Ministry of Foreign Affairs
                                                                  of the Kingdom of Thailand
                                                                          16 February 2019

 
 
 
                                                     (คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ)
 
ประเทศอาเซียนและจีนพร้อมร่วมกันรักษาปฏิบัติการเสรีภาพในการเดินเรือและบินผ่านในทะเลจีนใต้
 
ในโอกาสการเยือนไทยของนายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ตามคำเชิญของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งสองฝ่ายได้พบหารือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างกันโดยแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการในภูมิภาคและระหว่างประเทศ รวมทั้งทิศทางและประเด็นสำคัญ ๆ ในความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย - จีน ในอนาคต
 
ในประเด็นทะเลจีนใต้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับพัฒนาการล่าสุดในการเจรจาจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct in the South China Sea: COC) ระหว่างอาเซียน - จีนที่กำลังดำเนินอยู่ และยินดีต่อพัฒนาการความสำเร็จโดยเฉพาะการเจรจา Single Draft COC Negotiation Text ทั้งสองฝ่ายยังได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือแบบ win - win ในทะเลจีนใต้ อาทิ การปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเล
 
ต่อประเด็นดังกล่าว มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ย้ำต่อฝ่ายไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปีนี้ว่า รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนมีนโยบายเช่นเดียวกับประเทศภาคีอื่น ๆ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UN Convention on the Law of Sea: UNCLOS) ค.ศ. 1982 ในการรักษาเสรีภาพในการเดินเรือและบินผ่านในทะเลจีนใต้ตามกฎหมายระหว่างประเทศดังกล่าว โดยจีนได้ยึดมั่นในท่าทีดังกล่าวมาโดยตลอดและจะยืนหยัดในท่าทีนี้ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ ได้กล่าวย้ำว่าจีนจะคงความพยายามในการทำงานร่วมกับฝ่ายต่าง ๆ ในการส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในทะเลจีนใต้เพื่อให้ทะเลจีนใต้เป็นทะเลแห่งสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืนในที่สุด
 
                                              * * * * * * * * * *
                                                                                กระทรวงการต่างประเทศ
                                                                                  แห่งราชอาณาจักรไทย
                                                                                   ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒