เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๓๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – ญี่ปุ่น ในวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้มีสารแสดงความยินดี ดังนี้
๑. สารจากนายกรัฐมนตรี
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมีรากฐานที่สำคัญและเจริญงอกงามจากความใกล้ชิดระหว่างพระราชวงศ์ของทั้งสองประเทศ โดยพระบรมวงศานุวงศ์ไทยและญี่ปุ่นได้มีการแลกเปลี่ยนการเสด็จเยือนระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ เพื่อถวายราชสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระราชไมตรีอันแน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองพระราชวงศ์และพระกรุณาของพระองค์เปรียบเสมือนกำลังใจของคนไทยในยามสูญเสีย และด้วยความใกล้ชิดที่มีมาอย่างยาวนานทำให้ไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงและราบรื่นในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ และด้านการท่องเที่ยว โดยทั้งสองประเทศเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจที่สำคัญ ที่ช่วยกันขับเคลื่อนและเพิ่มพูนความร่วมมือสู่การพัฒนาในมิติใหม่ ๆ ทั้งด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและดิจิทัล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๓๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ผมในฐานะรัฐบาลไทย ขอส่งความปรารถนาดีมายังรัฐบาลและประชาชนชาวญี่ปุ่น ผมเชื่อมั่นว่าไทยและญี่ปุ่นซึ่งต่างมีบทบาทสำคัญในภูมิภาค จะรักษาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งเป็นพันธมิตรอันแข็งแกร่งที่ร่วมมือกันในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อสร้างความรุ่งเรือง สันติสุข และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดไป
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
๒. สารจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ ถือเป็นวันครบรอบ ๑๓๐ ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – ญี่ปุ่น โดยเมื่อ ๑๓๐ ปีก่อนของวันนี้ สมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีว่าการต่างประเทศสยาม และนายซูโซ อะโอะกิ รองเสนาบดีว่าการต่างประเทศญี่ปุ่นในสมัยนั้น ได้ลงนามใน “หนังสือปฏิญญาณว่าด้วยทางพระราชไมตรีแลการค้าขายในรหว่างประเทศสยามกับประเทศยี่ปุ่น” เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์สมัยใหม่ หลังจากที่ทั้งสองประเทศได้พัฒนาความสัมพันธ์มายาวนานกว่า ๕๐๐ ปีก่อนหน้านั้นแล้ว
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ความสัมพันธ์ของสองประเทศได้พัฒนาก้าวไกลมาเป็นลำดับ จนเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของกันและกันในปัจจุบัน โดยมีความใกล้ชิดในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับพระราชวงศ์ ซึ่งเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของความสัมพันธ์ ไปถึงความสัมพันธ์ในระดับรัฐบาล ภาคเอกชนและประชาชน ที่เข้มแข็งและพึ่งพาซึ่งกันและกัน
ในระดับรัฐบาล ไทยและญี่ปุ่นมีความร่วมมือที่ดีระหว่างกันมาโดยตลอด โดยไม่เคยมีข้อขัดแย้งใด ๆ และมีความพยายามที่จะเพิ่มพูนความสัมพันธ์ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนและคู่ค้ารายใหญ่ที่สำคัญของไทย ซึ่งมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยพัฒนามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนปัจจุบัน ไทยถือเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของการผลิตที่สำคัญของญี่ปุ่น ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือระหว่างกันในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย – ญี่ปุ่น หรือ JTEPA ซึ่งจะครบรอบ ๑๐ ปีของการใช้บังคับในปีนี้เช่นกัน และจะมีการทบทวนทั่วไปเพื่อเพิ่มพูนประโยชน์ในด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือในมิติใหม่ ๆ ที่มีความหลากหลายและเสริมประโยชน์ต่อกันและกันมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลของทั้งสองประเทศได้จับมือกันในฐานะหุ้นส่วนเพื่อร่วมกันส่งเสริมการพัฒนาทั้งในประเทศที่สาม อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ภูมิภาคอาเซียน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และโลก ผ่านความร่วมมือที่แข็งขันและหลากหลาย
ในระดับประชาชน มีความสัมพันธ์และความผูกพันอย่างลึกซึ้ง ผ่านการไปมาหาสู่ระหว่างกันของคนของสองประเทศที่มากขึ้น และผ่านการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือในด้านการศึกษา การท่องเที่ยว วัฒนธรรม ดนตรี ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ การ์ตูน และการแสดงในแขนงต่าง ๆ ทำให้คนไทยและคนญี่ปุ่นเกิดความรู้สึกสนิทสนมและคุ้นเคยกันและกันเป็นอย่างดี
เห็นได้ชัดเจนว่า คนรุ่นก่อนซึ่งมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลได้วางรากฐานแห่งความสัมพันธ์ยุคใหม่ให้แก่ทั้งสองประเทศตลอด ๑๓๐ ปีที่ผ่านมาอย่างเป็นรูปธรรม เต็มไปด้วยความหมาย และมีคุณค่าทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และจิตใจ ดังนั้น ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนรุ่นต่อไป จะสานต่อความสัมพันธ์ฉันมิตรที่แน่นแฟ้นนี้ให้มีความก้าวหน้าไปสู่มิติใหม่ ๆ อย่างยั่งยืนและมั่นคง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ และความรุ่งเรืองและสันติสุขของภูมิภาคและของโลก
นายดอน ปรมัตถ์วินัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ