ความเห็นต่อรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประจำปี ๒๕๕๙ - ๒๕๖๐ ขององค์กร Amnesty International

ความเห็นต่อรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประจำปี ๒๕๕๙ - ๒๕๖๐ ขององค์กร Amnesty International

วันที่นำเข้าข้อมูล 22 ก.พ. 2560

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 26 พ.ย. 2565

| 2,768 view

          เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ องค์กร Amnesty International (AI) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ใช่รัฐ (Non- Governmental Organisation - NGO) ได้เผยแพร่รายงานด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก (The Stateof the World’s Human Rights) ประจำปี ๒๕๕๙ – ๒๕๖๐ โดยรวบรวมสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนตลอดปี ๒๕๕๙ ของ ๑๕๙ ประเทศใน ๕ ภูมิภาคทั่วโลก รายงานดังกล่าวจัดทำขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยสถานการณ์ในประเทศไทยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรายงาน และในปีนี้ สำนักงาน AI ทั่วโลก ได้จัดงานเปิดตัวรายงานดังกล่าวพร้อมกัน

          กระทรวงการต่างประเทศรับทราบรายงานดังกล่าวโดยเห็นว่ารายงานยังมิได้สะท้อนถึงพัฒนาการในประเทศไทยอย่างครอบคลุม และขอชี้แจง ดังนี้

          ๑. รัฐบาลยึดมั่นดำเนินการตาม Roadmap เพื่อนำพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง สังคมที่ปรองดองและบ้านเมืองที่มีเสถียรภาพอย่างยั่งยืนซึ่งขณะนี้การดำเนินการมีความคืบหน้าตามลำดับ โดยกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ และการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป ได้เปิดให้ประชาชนและทุกภาคส่วน ทั้งภาควิชาการ สื่อมวลชน ภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมายผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง อาทิ การอภิปราย และการเสวนาทั่วประเทศ ซึ่งผลการออกเสียงประชามติเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างครอบคลุม

          ๒. ประเทศไทยให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเคารพสิทธิมนุษยชนตามหลักปฏิบัติสากล ดังเห็นได้ว่าสื่อมวลชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเสรี อย่างไรก็ดี มีความจำเป็นต้องคำนึงถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยและการป้องกันความแตกแยกในสังคมด้วย โดยการใช้สิทธิดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย และความสงบเรียบร้อยในสังคม และต้องไม่ละเมิดสิทธิหรือชื่อเสียงของผู้อื่นตามที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙ (๓) ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

          ๓. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ เป็นส่วนหนึ่งของประมวลกฎหมายอาญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จากการกระทำฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้าย ในลักษณะเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทที่ให้ความคุ้มครองบุคคลทั่วไป เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการริดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และมิได้มีแรงจูงใจทางการเมืองแต่อย่างใด นอกจากนี้ การดำเนินคดีในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังมีกระบวนการพิจารณาคดีอันควรแห่งกฎหมาย (due legal process) เหมือนกับคดีอาญาโดยทั่วไป โดยจำเลยมีสิทธิที่จะต่อสู้คดีและได้รับการพิจารณาอย่างเที่ยงธรรม และผู้ที่ถูกพิพากษาให้มีความผิดตามกฎหมายดังกล่าวมีสิทธิในการอุทธรณ์และขอพระราชทานอภัยโทษ เฉกเช่นเดียวกับความผิดอาญาอื่น ๆ

          ๔. ประเด็นระบบยุติธรรม รัฐบาลได้ปฏิรูปกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่สั่งสมมานาน รวมถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำและสิทธิมนุษยชน ซึ่งปัจจุบันได้ประกาศใช้แล้วจำนวนมากกว่า ๑๙๐ ฉบับ นอกจากนั้น เมื่อสถานการณ์ในประเทศมีความสงบเรียบร้อยขึ้นตามลำดับ หัวหน้า คสช. ได้มีคำสั่งที่ ๕๕/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙ กำหนดให้การกระทำความผิดที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลทหารบางประเภทกลับไปอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการผ่อนคลายมาตรการด้านความมั่นคงเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามหลักนิติธรรมและหลักสิทธิมนุษยชน

          ๕. ประเด็นการปกป้องคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นั้น บุคคลกลุ่มดังกล่าวได้รับความคุ้มครองจากการพิจารณาคดีด้วยความเที่ยงธรรมของศาลเท่าเทียมกับบุคคลทุกกลุ่ม โดยในกรณีของนาย Andy Hall เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องนาย Andy Hall กรณีถูกบริษัท Natural Fruit ฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาททางอาญาจากการให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Al Jazeera นอกจากนั้น ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for Protection of All Persons from Enforced Disappearance - ICPPED) เมื่อปี ๒๕๕๕ และอยู่ระหว่างออกกฎหมายภายในเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว กล่าวคือ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ... ซึ่งปัจจุบัน ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

          ๖. ประเด็นผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงมีความคืบหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะในประเด็นผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา โดยภายหลังจากที่เมียนมามีพัฒนาการทางการเมืองในเชิงบวกรัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับรัฐบาลเมียนมาและสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees – UNHCR) ในการอำนวยความสะดวกส่งผู้หนีภัยการสู้รบชาวเมียนมา จำนวน ๗๑ คน กลับประเทศด้วยความสมัครใจในเดือน ต.ค. ๒๕๕๙ โดยคณะทำงานร่วม ซึ่งมีปลัดกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม จะพบเพื่อหารือเกี่ยวกับการส่งผู้หนีภัย การสู้รบ ที่ยังตกค้างอีก ๑๐๒,๐๐๐ คน กลับประเทศ ซึ่ง UNHCR จะให้ความช่วยเหลือในการส่งกลับด้วย ทั้งนี้ กระบวนการดังกล่าวจะช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับทุกฝ่ายเพื่อให้การส่งกลับผู้หนีภัยการสู้รบและการนำผู้หนีภัยการสู้รบกลับคืนสู่สังคมอย่างถาวรเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

          ๗. ขอยืนยันว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ตลอดจนเสรีภาพของประชาชนอย่างครอบคลุม ตราบที่อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยมุ่งมั่นในการปฏิรูปกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการคุ้มครองเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง ในการนี้ รัฐบาลยินดีรับฟังความห่วงกังวลของทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคประชาสังคม และมุ่งหวังให้เกิดความร่วมมือที่สร้างสรรค์และอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่มีรอบด้านและสมดุล เพื่อจะช่วยส่งเสริมการดำเนินการเพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป