เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๙ กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ร่วมกับกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมการกงสุล และสำนักนโยบายและแผน ได้จัดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ภูมิภาคแอฟริกา ประจำปี ๒๕๕๙ ณ นครเคปทาวน์ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ โดยมีนายชัยสิริ อนะมาน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมและมอบนโยบาย และมีนายปัญญรักษ์ พูลทรัพย์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุม โดยมีเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ประจำประเทศในภูมิภาคแอฟริกา ๘ ประเทศ ได้แก่ อียิปต์ ไนจีเรีย แอฟริกาใต้ เคนยา โมร็อกโก เซเนกัล โมซัมบิก มาดากัสการ์  และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตซึ่งดูแลประเทศในแอฟริกา ได้แก่ ฝรั่งเศส (ดูแลแอลจีเรีย) และอิตาลี (ดูแลลิเบีย) เข้าร่วมการประชุมด้วย

            การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนและจัดทำยุทธศาสตร์ของไทยต่อแอฟริกา ระหว่างปี ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔ และเพื่อให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ภูมิภาคแอฟริกาได้รับทราบนโยบายและยุทธศาสตร์ที่สำคัญของกระทรวงฯ รวมถึงนโยบายของรัฐบาลในการดำเนินความสัมพันธ์เชิงรุกกับประเทศในแอฟริกา ตลอดจนบูรณาการการดำเนินงานระหว่างกระทรวงฯ กับสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ในภูมิภาคแอฟริกา นอกจากนั้น ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับหุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาและการเผยแพร่แนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงในภูมิภาคแอฟริกา แนวทางการส่งเสริมการค้าและการลงทุน นโยบายด้านงานกงสุลและการตรวจลงตรา และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย

            ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมการประชุมยังได้รับฟังการบรรยายสรุปในหัวข้อทิศทางนโยบายต่างประเทศแอฟริกาในปัจจุบัน โดยวิทยากรจาก South African Institute of International Affairs และยังได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับภาคเอกชนไทยที่ลงทุนในภูมิภาคแอฟริกา ได้แก่ ปตท.สผ. บริษัท Minor Group และกลุ่มบริษัท Cape Thai Restaurant Holdings ด้วย 

            การประชุมในครั้งนี้ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงยุทธศาสตร์ของไทยต่อแอฟริกาให้มีความทันสมัย สะท้อนถึงบริบทของสถานการณ์โลกและภูมิภาคแอฟริกาที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตลอดจนตอบสนองต่อนโยบายการทูตประชารัฐซึ่งมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม อันจะนำไปสู่การปฏิบัติที่สอดคล้องและตอบสนองต่อผลประโยชน์ของไทยในแอฟริกาได้อย่างเหมาะสมต่อไป