พิธีลงนามอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับไอร์แลนด์

พิธีลงนามอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับไอร์แลนด์

วันที่นำเข้าข้อมูล 4 พ.ย. 2556

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 4,686 view

เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ กระทรวงการต่างประเทศได้จัดพิธีลงนามอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งไอร์แลนด์เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และผลได้จากทุน (The Convention between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Ireland for the Avoidance of Double Taxation and the Prevention of Fiscal Evasion with respect to Taxes on Income and Capital Gains) โดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และนาย Declan Kelly เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไอร์แลนด์
การลงนามอนุสัญญาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในการเพิ่มพูนการค้า การลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการดำเนินนโยบายการค้าและการลงทุนเชิงรุกของไทย เพื่อช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนระหว่างประเทศ โดยจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาระภาษีที่ชัดเจน และช่วยลดภาระภาษีของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยและนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ
สาระสำคัญของอนุสัญญาฯ กำหนดหลักการสำคัญเพื่อขจัดการเก็บภาษีซ้ำซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากอำนาจของทั้งสองประเทศในการจัดเก็บภาษีซ้อนบนฐานรายได้จำนวนเดียวกัน นอกจากนี้ อนุสัญญาฯ ยังช่วยป้องกันการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีของนักลงทุนระหว่างประเทศทั้งสอง ตลอดจนมีการจัดสรรรายได้ภาษีระหว่างสองประเทศด้วยการกำหนดสิทธิการเก็บภาษีสำหรับเงินได้ประเภทต่างๆ
ประเทศไทยและสาธารณรัฐไอร์แลนด์ได้เจรจาจัดทำอนุสัญญาฯ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ โดยสามารถสรุปการเจรจาและลงนามย่อในช่วงการเจรจารอบที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑๒ – ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ที่กรุงดับลิน คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และรัฐสภาได้มีมติให้ความเห็นชอบเนื้อหาและให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้อนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๕
ปัจจุบัน รัฐบาลไอร์แลนด์ให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทย เช่นเดียวกับสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ และมีแผนที่จะเปิดสถานเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทยในอนาคต เช่นเดียวกับที่ไทยมีแผนจะเปิดสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงดับลิน ในอีกประมาณ ๔ ปีข้างหน้า ดังนั้น การลงนามอนุสัญญาฯ จึงเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประชาชนไทยและไอร์แลนด์

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ