เครือรัฐออสเตรเลีย

เครือรัฐออสเตรเลีย

วันที่นำเข้าข้อมูล 27 ส.ค. 2555

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 107,549 view


เครือรัฐออสเตรเลีย
Commonwealth of Australia

ข้อมูลทั่วไป

ที่ตั้ง เป็นเกาะทวีป (Island Continent) อยู่ในซีกโลกใต้ ตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก

พื้นที่ 7,692,000 ตารางกิโลเมตร มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 รองจากรัสเซีย แคนาดา จีน สหรัฐอเมริกา และบราซิล และใหญ่กว่าไทยประมาณ 15 เท่า

เมืองหลวง กรุงแคนเบอร์รา เมืองที่มีประชากรมากสุด ได้แก่ นครซิดนีย์และเมลเบิร์น

ภูมิอากาศ ภาคใต้มีสภาพอากาศเย็น ในขณะที่ภาคเหนือมีอากาศร้อนชื้น เดือนร้อนที่สุดคือ มกราคมและกุมภาพันธ์ เดือนหนาวที่สุดคือ กรกฎาคม

เวลา เร็วกว่าเวลามาตรฐาน กรีนิช 10 ชม. (New South Wales, Tasmania, Victoria, Queensland และ Australian Capital Territory) 9.5 ชม. (Northern Territory และ South Australia) และ 8 ชม. (Western Australia) เวลากรุงแคนเบอร์ราเร็วกว่ากรุงเทพฯ 3 ชม. 

ประชากร 23.3 ล้านคน (ปี 2557) เป็นผู้ที่มีเชื้อชาติยุโรป ร้อยละ 92 เอเชียร้อยละ 7 และชนพื้นเมืองอะบอริจินส์ ร้อยละ 1

ภาษาราชการ ภาษาอังกฤษ

ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาธอลิค ร้อยละ 25.8 คริสต์นิกายแองกลิกัน ร้อยละ 18.7 คริสต์นิกายอื่น ๆ ร้อยละ 21 พุทธ ร้อยละ 2.1 มุสลิม ร้อยละ 1.7 อื่นๆ ร้อยละ 1.2 ไม่แจ้งศาสนาตน ร้อยละ 13 และไม่นับถือศาสนาใด ร้อยละ 15 (จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2544)

วันชาติ วันที่ 26 มกราคม

รูปแบบการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยแบบสหพันธ์ (Federal Democracy) และเป็นประเทศในเครือจักรภพ

ประมุข สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร โดยมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ (Governor-General) คนปัจจุบันคือ เซอร์ ปีเตอร์ คอสโกลบ (His Excellency General the Honourable Sir Peter Cosgrove AK MC (Retd)) หัวหน้าฝ่ายบริหารคือ นายโทนี่ แอ๊บบอตต์ (The Honorable Tony Abbott, MP) นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคเสรีนิยมออสเตรเลีย (Liberal Party of Australia)

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 1,542 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2555)

รายได้ประชาชาติต่อหัว 66,371 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2555)

อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 1.8 (ปี 2555)

อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 2.05 (ปี 2555)

อัตราการว่างงาน ร้อยละ 5.7 (ปี 2556)

ตลาดนำเข้าที่สำคัญ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เยอรมนี (ปี 2555)

ตลาดส่งออกที่สำคัญ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย สหรัฐฯ (ปี 2555) 

สินค้าส่งออกที่สำคัญ ถ่านหิน แร่เหล็ก ทองคำ น้ำมันดิบ แร่อะลูมิเนียม ก๊าซธรรมชาติ (ปี 2555)

สินค้านำเข้าที่สำคัญ ชิ้นส่วน/อุปกรณ์รถยนต์ น้ำมันดิบ น้ำมันกลั่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์การแพทย์ (ปี 2555)

การเมืองการปกครอง

กำเนิดเครือรัฐออสเตรเลีย ได้รับการก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2444 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 1901 ซึ่งเป็นแบบลายลักษณ์อักษร เดิมออสเตรเลียเป็นดินแดนสำหรับส่งนักโทษอังกฤษมาอาศัยอยู่ แต่มีชาวอังกฤษย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานในช่วงศตวรรษที่ 19 ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชาวยุโรปและชาวเอเชียย้ายไปตั้งรกรากที่ออสเตรเลียมากขึ้นตามลำดับ

ฝ่ายบริหาร อยู่ภายใต้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ มีคณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรผู้บริหาร โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี บุคคลในคณะรัฐมนตรีได้รับเลือกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งมาจากการเลือกตั้งทั่วไป

ฝ่ายนิติบัญญัติ มีรัฐสภาประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร (มี 150 ที่นั่ง) และ วุฒิสภา (มี 76 ที่นั่ง)มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดและครึ่งหนึ่งของสมาชิกวุฒิสภาทุกๆ 3 ปี การออกพระราชบัญญัติทุกฉบับต้องผ่านการเห็นชอบของทั้ง 2 สภา ประชาชนที่มีอายุครบ 18 ปีขึ้นไปมีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง

ฝ่ายตุลาการ อำนาจตุลาการเป็นอิสระจากฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐบาลเป็นผู้แต่งตั้งผู้พิพากษาเมื่อมีตำแหน่งว่าง แต่ไม่มีอำนาจถอดถอน 
- ศาลสูง (High Court of Australia) มีอำนาจสูงสุดในการตีความและตัดสินคดี กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติระดับรัฐและส่วนกลาง และคดีในระดับระหว่างรัฐและระหว่างประเทศ ศาล Federal Court of Australia มีอำนาจตัดสินคดีแพ่ง 

การปกครอง ในระบบสหพันธรัฐ ซึ่งประกอบด้วย 6 รัฐ ได้แก่ Western Australia, South Australia, Queensland, New South Wales, Tasmania, และ Victoria โดยมีอาณาเขตปกครองตนเอง 2 อาณาเขต ได้แก่ Northern Territory และ Australian Capital Territory ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง คือ กรุงแคนเบอร์รา รัฐแต่ละรัฐมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (Governor) มีรัฐบาลและมุขมนตรีทำหน้าที่บริหาร โดยมีสภานิติบัญญัติ 2 สภา ยกเว้นรัฐ Queensland ซึ่งมีเพียงสภาเดียว และรัฐและอาณาเขตต่างๆ มีระบบศาลของตนเอง

พรรคการเมือง ออสเตรเลียมีพรรคการเมืองสำคัญ 3 พรรค ได้แก่
1. Australian Labor Party (หัวหน้าพรรคคือ นายเควิน รัดด์)
2. Liberal Party of Australia (หัวหน้าพรรคคือ นายโทนี่ แอ๊บบอตต์)
3. National Party of Australia (หัวหน้าพรรคคือ นาย Warren Truss) 
พรรคการเมืองอื่นๆ อาทิ พรรค Australian Greens, Family First Party, Australian Democrats, One Nation Party

สถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบัน 
- พรรค Liberal, Liberal National, The Nationals, Country Liberals (ส.ส. 88 คน) นำโดยนายโทนี่ แอ๊บบอตต์ ชนะการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2556 และได้จัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรค Labour นำโดยนายเควิน รัดด์ (ส.ส. 57 คน) เป็นพรรคฝ่ายค้าน  
- รัฐบาลชุดปัจจุบันให้ความสำคัญต่อ การส่งเสริมความสัมพันธ์กับภูมิภาค Asia-Pacific-Indian Ocean ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และอินเดีย รวมทั้งประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก ร่วมมือกับอินโดนีเซียเพื่อสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองทางเรือของผู้แสวงหาที่พักพิง เร่งรัดทำความตกลงเขตการค้าเสรีกับญี่ปุ่น เพิ่มโควต้าแรงงานตามฤดูกาลจากประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก การจัดทำแผนโคลัมโบฉบับใหม่เพื่อส่งนักศึกษามหาวิทยาลัยในออสเตรเลียมาศึกษาและทำงานในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การควบคุมงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลอย่างเคร่งครัดเพื่อมุ่งหวังให้มีงบประมาณเกินดุลร้อยละ 1 ของ GDP ภายในระยะเวลา 10 ปี ลดจำนวนข้าราชการลงประมาณ 12,000 อัตรา ภายในระยะเวลา 2 ปี การลดอัตรภาษีบริษัทจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 28.5 ภายในเดือนกรกฎาคม 2558 การยกเลิกภาษีเหมืองแร่เหล็กและถ่านหิน และการปรับลดงบประมาณเงินช่วยเหลือต่างประเทศ 

นโยบายด้านความมั่นคง
2.1 ออสเตรเลียให้ความสำคัญด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เนื่องจากเห็นว่าปัญหาการก่อการร้าย การแพร่กระจายของอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง และอาชญากรรมข้ามชาติเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อความมั่นคงในภูมิภาค นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับพันธมิตรโดยเฉพาะสหรัฐฯ เพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ และพัฒนาบุคลากรและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ทันสมัยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของกองทัพในการป้องกันดินแดน รวมทั้งผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าเมืองอย่างจริงจัง 
2.2 ออสเตรเลียได้ตกเป็นเป้าหมายของขบวนการก่อการร้าย นับตั้งแต่เหตุการณ์ระเบิดที่เกาะบาหลี ในปี 2545 และมีความกังวลว่าจะเกิดขบวนการหัวรุนแรงขยายตัวมากขึ้นในประเทศ เนื่องจากออสเตรเลียมีชุมชนมุสลิมอาศัยอยู่ประมาณ 300,000 คน รัฐบาลกำลังจับตามองความเคลื่อนไหวของผู้นำมุสลิมต่างๆ อย่างเข้มงวด และชี้ว่าชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลียจะต้องตระหนักและเคารพต่อค่านิยมทางสังคมของออสเตรเลีย คาดว่าออสเตรเลียจะดำเนินนโยบายให้ชาวมุสลิมกลมกลืนเป็นชาวออสเตรเลียมากขึ้นหลังจากที่ได้ปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตรวจคนเข้าเมือง และเปลี่ยนนโยบายการเข้าเมือง ตลอดจนเปลี่ยนชื่อกระทรวงจาก Department of Immigration and Multicultural Affairs เป็น Department of Immigration and Citizenship 
2.3 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 นายอเล็กซานเดอร์ ดาวน์เนอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลียได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ Sydney Institute ในหัวข้อ Terrorism: Winning the Battle of Ideas สรุปได้ว่า ออสเตรเลียเล็งเห็นถึงปัญหาการก่อตัวของลัทธิหัวรุนแรงในท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Jemmah Islamiya – JI และพยายามใช้แนวทางด้านความมั่นคงและแนวทางการทูตสาธารณะในการแก้ไขปัญหา รวมไปถึงการเสริมสร้างความสมานฉันท์ เช่น การร่วมมือกับอินโดนีเซียในการจัดประชุม Interfaith Dialogue 2 ครั้ง (นิวซีแลนด์จะเป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งที่ 3 ในเดือนพฤษภาคม 2550) การจัดโครงการแลกเปลี่ยนการเยือนและการติดต่อระหว่างกลุ่มมุสลิมในออสเตรเลียและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในไทยและอินโดนีเซีย โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้ประสบการณ์ของออสเตรเลียในการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนมุสลิมผสมกับหลักสูตรทั่วไปของออสเตรเลีย และจะขยายโครงการไปสู่ผู้นำมุสลิมสายกลางสาขาอาชีพต่างๆ อีกด้วย 
2.4 ขณะนี้ ออสเตรเลียลงนามความตกลงด้านการต่อต้านการก่อการร้าย (MOUs on Counter-Terrorism) กับหลายประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ฟิจิ กัมพูชา ติมอร์เลสเต อินเดีย บรูไนฯ ปาปัวนิวกินี ปากีสถาน และอัฟกานิสถาน และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 ได้ประกาศที่จะให้เงินช่วยเหลือภูมิภาคในการต่อต้านการก่อการร้ายเป็นเวลา 4 ปีเป็นเงินทั้งสิ้น 92.6 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ออสเตรเลียยังเป็นประธานร่วมกับอินโดนีเซียในกรอบ Bali Process โดยได้จัดตั้งคณะทำงาน 2 คณะ ได้แก่ Legal Issues Working Group (LIWG) และ Law Enforcement Working Group (LEWG) ด้านการต่อต้านการก่อการร้าย
2.5 บทบาทที่โดดเด่นของออสเตรเลียในปี 2550 คือ การที่ออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพการประชุมในกรอบเอเปค และให้ความสำคัญกับการผลักดันความร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายในกรอบนี้ โดยเมื่อวันที่ 19-20 มกราคม 2550 ได้จัดการประชุม APEC Counter-Terrorism Task Force ครั้งที่ 1/2550 ณ กรุงแคนเบอร์รา ซึ่งในกรอบนี้ออสเตรเลียเป็นผู้บริจาคสำคัญของโครงการภายใต้กรอบธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) หรือ Cooperation Fund for Regional Trade and Financial Security Initiative และจะร่วมกับมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วย financing of terrorism ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในเดือนเมษายนและกรกฎาคม 2550 
2.6 นอกจากนี้ ออสเตรเลียมีโครงการร่วมมืออื่นๆ ในภูมิภาค (regional outreach) โดยจัดการสัมมนาว่าด้วย Global Initiative to Combat Nuclear Terrorism ในระหว่างวันที่ 17-18 พฤษภาคม 2550 การประชุม Sub-Regional Ministerial Meeting on Counter-Terrorism ที่กรุงจาการ์ตา ระหว่างวันที่ 5-6 มีนาคม 2550 ซึ่งออสเตรเลียและอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพร่วม และมีผู้แทนระดับรัฐมนตรีเข้าร่วมจาก อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย และไทย หัวข้อที่มีการหารือ อาทิ การต่อต้านการแพร่ขยายของลัทธินิยมความรุนแรง การข่าว การสอดส่องควบคุมความเคลื่อนไหวและการจัดการกับยุทธวิธีของขบวนการก่อการร้าย เงินทุน อาวุธ และวัตถุที่ใช้ประโยชน์สองทาง ซึ่งฝ่ายไทยได้ให้ความสำคัญกับการขยายความร่วมมือในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย และการเรียนรู้วิธีปฏิบัติที่ดีจากประเทศอื่นในภูมิภาค
2.7 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลียมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการลักลอบค้ามนุษย์ โดยเฉพาะในกรอบของ Bali Process ทั้งนี้ ออสเตรเลียได้จัดตั้งตำแหน่งเอกอัครราชทูตในเรื่องการลักลอบค้ามนุษย์เป็นการเฉพาะเพื่อประสานงานและสานต่อการดำเนินการต่างๆ ภายใต้กรอบดังกล่าว นอกจากนั้น เมื่อเดือนมิถุนายน 2547 รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศใช้ Action Plan to Eradicate Trafficking in Persons โดยใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และครอบคลุมมาตรการต่างๆ ในการต่อต้านการลักลอบค้ามนุษย์ รวมทั้งได้ให้สัตยาบันต่อพิธีสารสหประชาชาติ Protocol to Prevent, Suppress and Punish Trafficking in Persons, Especially Women and Children เมื่อเดือนกันยายน 2548 หลังจากปรับแก้ไขกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้องแล้ว
2.8 ออสเตรเลียมีบทบาทที่แข็งขันในการต่อต้านการแพร่กระจายของอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (WMD) โดยสนับสนุนสนธิสัญญาหลักๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ Nuclear Non-Proliferation Treaty (NPT), Chemical Weapons Convention (CWC), Biological and Toxin Weapons Convention (BWC), และComprehensive Nuclear-Test-Ban Treaty (CTBT) รวมทั้งสนับสนุนและมีบทบาทที่แข็งขันใน Proliferation Security Initiative (PSI) ซึ่งเป็นแนวความคิดริเริ่มของสหรัฐฯ และได้รับความร่วมมือจากชาติตะวันตกต่างๆ รวมถึงออสเตรเลีย โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงและในปัจจุบันมีประเทศเข้าร่วมมากกว่า 80 ประเทศ ทั้งนี้ ออสเตรเลียได้พยายามจะผลักดันให้ประเทศในเอเชียแปซิฟิกรวมถึงไทยให้การสนับสนุน PSI ด้วย โดยไทยมีท่าทีสนับสนุนแต่ยังไม่เข้าร่วมเพราะเห็นว่า 
อาจมีผลกระทบทำให้สถานการณ์ในภาคใต้ของไทยยุ่งยากยิ่งขึ้น และไทยจะพิจารณาเข้าร่วมหากประเทศอาเซียนที่เป็นมุสลิม (มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) เข้าร่วมด้วย นอกจากนั้น ออสเตรเลียยังสนับสนุนให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีบทบาทที่แข็งขันมากขึ้นในการควบคุมการแพร่กระจายของ WMD อาทิ ในกรณีเกาหลีเหนือ และอิหร่าน 

นโยบายด้านต่างประเทศ
ออสเตรเลียมีบทบาทแข็งขันในการเมืองระหว่างประเทศโดยให้การสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของสหประชาชาติมาโดยตลอด เช่น ด้านการปฏิบัติการรักษาสันติภาพ การลดอาวุธ การควบคุมและปราบปรามยาเสพติด มีบทบาทสำคัญในกลุ่มประเทศสมาชิกเครือจักรภพในภูมิภาคแปซิฟิก และใน Pacific Islands Forum (PIF), Cairns Group เอเปค อาเซียน และ ARF ออสเตรเลียได้จัดสรรงบประมาณความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นให้แก่ กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคอาเซียนและแปซิฟิกใต้ นอกจากนี้ ออสเตรเลียยังร่วมมือกับนิวซีแลนด์ในการแก้ปัญหาในประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกมาโดยตลอด ผ่านเวทีการประชุมต่างๆ เช่น Australia-New Zealand Foreign Ministers' Meeting และได้ส่งกองกำลังร่วมเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในตองกา ช่วงที่มีปัญหาการจลาจลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2549 อย่างไรก็ตาม ออสเตรเลียได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก อาทิ ฟิจิ และหมู่เกาะโซโลมอนว่า แทรกแซงกิจการภายในของประเทศเหล่านี้มากเกินไป 

ออสเตรเลียส่งเสริมการมีบทบาทสำคัญในกรอบอาเซียน โดยออสเตรเลียกำลังจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ เข้าร่วมการประชุม East Asia Summit (EAS) นอกจากนั้น ออสเตรเลียยังมีบทบาทที่แข็งขันในการรักษาสันติภาพในติมอร์เลสเต โดยได้ส่งกองกำลังร่วมกับไทยเพื่อรักษาสันติภาพในช่วงปี 2542-2545 และออสเตรเลียได้ส่งกองกำลังไปรักษาความสงบอีกรอบในช่วงปี 2549  

ภายหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐฯ และเหตุระเบิดที่เกาะบาหลี รัฐบาลออสเตรเลียได้ประกาศใช้สมุดปกขาวด้านนโยบายต่างประเทศและการค้าฉบับใหม่ ภายใต้ชื่อ Advancing the National Interest ในเดือนกุมภาพันธ์ 2546 โดยวางกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทางด้านการเมืองความมั่นคงและเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน มุ่งเน้นการคุ้มครองคนชาติและผลประโยชน์ของออสเตรเลียจากภัยก่อการร้ายระหว่างประเทศ การต่อสู้กับปัญหาการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ การลักลอบค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติดและปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยให้ความสำคัญพิเศษต่อความร่วมมือในการป้องกันภัยดังกล่าวกับประเทศและภูมิภาคที่อยู่ใกล้ออสเตรเลียที่สุด (immediate region) มุ่งเน้นความรับผิดชอบร่วมกันภายใต้กรอบสหประชาชาติ รวมทั้งการส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยมุ่งขจัดอุปสรรคทางการค้าพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลกและเอเปค และการส่งเสริมการจัดทำความตกลงการค้าเสรี

ออสเตรเลียเห็นว่าความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ มีความสำคัญทั้งในด้านการเมือง ความมั่นคงและเศรษฐกิจ และให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นในทุกมิติของความสัมพันธ์ พร้อมกับมุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านในแปซิฟิกใต้เพื่อให้สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพอันเป็นผลประโยชน์ของออสเตรเลีย 

ส่วนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้น มหาอำนาจออสเตรเลียได้ให้ความสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่นและจีนโดยออสเตรเลียมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกับทั้งสองประเทศ และได้จัดทำความตกลงทางการทหารกับญี่ปุ่นเมือ่วันที่ 13 มีนาคม 2550 และศุลกากร พร้อมทั้ง การฝึกร่วมทางการทหาร 

ประเด็นด้านนโยบายต่างประเทศที่ออสเตรเลียให้ความสำคัญมาก คือ การต่อต้านการก่อการร้าย ปัญหาในอิรัก และอัฟกานิสถาน การแพร่ขยายอาวุธที่มีอำนาจในการทำลายล้างสูง (non-proliferation) การปฏิรูปสหประชาชาติ และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ เช่น พม่า ซิมบับเว และการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนก (Avian Influenza Pandemic) 

นโยบายด้านการต่างประเทศปัจจุบัน (นายกรัฐมนตรีแอ๊บบอตต์)
รัฐบาลชุดปัจจุบันให้ความสำคัญต่อ การส่งเสริมความสัมพันธ์กับภูมิภาค Asia-Pacific-Indian Ocean ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และอินเดีย รวมทั้งประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก อาทิ ยกระดับความสัมพันธ์กับจีนให้แน่นแฟ้าเท่ากับสมัยรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรีจอห์น ฮาว์เวิร์ด ร่วมมือกับอินโดนีเซียเพื่อสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองทางเรือของผู้แสวงหาที่พักพิง เร่งรัดทำความตกลงเขตการค้าเสรีกับญี่ปุ่น ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับปกติกับฟิจิ หากรัฐบาลฟิจิสามารถจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกันยายน 2557 ตามกำหนด เพิ่มโควต้าแรงงานตามฤดูกาลจากประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก การจัดทำแผนโคลัมโบฉบับใหม่ โดยจัดสรรงบประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อส่งนักศึกษามหาวิทยาลัยในออสเตรเลียมาศึกษาและทำงานในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อย่างไรก็ดี รัฐบาลออสเตรเลียมีแผนที่จะปรับลดเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (overseas development assistance) เป็นจำนวนเงิน 4,500 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า เพื่อนำเงินไปจัดสรรให้กับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ

การแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัย และผู้ลักลอบเข้าเมืองทางทะเลเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนต่อการเมือง ภายในของออสเตรเลีย และท่าทีของออสเตรเลียภายใต้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีกิลลาร์ด อาจจะทำให้ประเทศต่างๆ ที่มีประชากรต้องการอพยพเข้าไปในออสเตรเลียต้องผิดหวัง เนื่องจากมาตรการที่จะกรองคนเข้าเมืองจะเข้มข้นขึ้น และมีความมุ่งมั่นที่จะลงโทษผู้กระทำผิดคดีลักลอบขนคนเข้าเมืองขั้นเด็ดขาด ในปี 2553 รัฐบาลออสเตรเลียจะผลักดันให้เกิดการจัดตั้ง Regional Processing Center หรือ ศูนย์แรกรับผู้อพยพ ในประเทศติมอร์-เลสเต ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลติมอร์-เลสเต และประเทศ ที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2556 นายเควิน รัดด์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียและนายปีเตอร์ โอนีล นายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินี ได้ร่วมลงนามข้อตกลงระดับภูมิภาคเรื่องการตั้งถิ่นฐานผู้แสวงหาที่พักพิง (Regional Settlement Arrangement) โดยตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. 2556 เป็นต้นไป ผู้แสวงหาที่พักพิง (asylum seekers) ที่เดินทางมาออสเตรเลียโดยทางเรือและปราศจากวีซ่าจะไม่ได้รับการพิจารณาให้ตั้งรกรากในออสเตรเลีย โดยผู้แสวงหาที่พักพิงดังกล่าวจะถูกส่งตัวไปยังปาปัวนิวกินีเพื่อผ่านกระบวนการพิจารณาสถานะและหากพบว่าเป็นผู้ลี้ภัยจริงจะได้ตั้งถิ่นฐานที่ปาปัวนิวกินี ส่วนผู้ที่พบว่าไม่ใช่จะถูกส่งตัวกลับประเทศของตนหรือประเทศที่สาม โดยข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 12 เดือนและจะได้รับการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

เศรษฐกิจการค้า

ภาคเกษตรกรรม ในช่วงทศวรรษที่ 1950 ประมาณร้อยละ 25 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของออสเตรเลียเป็นภาคเกษตรกรรม และร้อยละ 80 ของสินค้าส่งออกออสเตรเลียเป็นสินค้าเกษตร แต่ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องเหลือประมาณร้อยละ 2.9 ของ GDP และร้อยละ 20.1 ของสินค้าส่งออกของออสเตรเลียในปี 2547-2548 สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์

ภาคอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมการผลิตของออสเตรเลียประกอบด้วย รถยนต์ จักรกล เคมีภัณฑ์ และการแปรรูปอาหาร เป็นหลัก โดยในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษที่ 1990 รัฐบาลออสเตรเลียได้ปรับลดอัตราภาษีศุลกากรของสินค้าอุตสาหกรรมลงอย่างมาก โดยยกเว้นสินค้ารถยนต์ เสื้อผ้าและรองเท้า ซึ่งสำหรับเสื้อผ้าและรองเท้าจะลดลงเหลือร้อยละ 5 ในช่วงปี 2553-2558 ส่วนสำหรับรถยนต์ได้ลดจากร้อยละ 15 เหลือร้อยละ 10 ในเดือนมกราคม 2548 ไปแล้ว การลดอัตราภาษีศุลกากรดังกล่าวมีผลทำให้การส่งออกของภาคนี้ขยายตัวขึ้นจากร้อยละ 14 ของปริมาณการส่งออกทั้งหมดในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 เป็นประมาณร้อยละ 21 ในปี 2547-2548 และคิดเป็นร้อยละ 11.2 ของ GDP ออสเตรเลียในปี 2547-2548      

ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีแร่ธาตุที่สำคัญทางเศรษฐกิจจำนวนมาก อาทิ มีแร่ตะกั่วประมาณร้อยละ 13 ของโลก แร่เหล็กร้อยละ 12 แร่อะลูมิเนียมร้อยละ 11 และแร่สังกะสีร้อยละ 10 ออสเตรเลียยังมีแร่ยูเรเนียมประมาณร้อยละ 30 ของโลกซึ่งอยู่ในรัฐ Western Australia, South Australia, Queensland และ Northern Territory และมีถ่านหินอีกเป็นจำนวนมาก ออสเตรเลียเป็นประเทศผู้ส่งออกพลังงานและมีพลังงานในรูปแบบของเหลวใช้บริโภคในประเทศได้อย่างพอเพียงประมาณร้อยละ 70 ของพลังงานที่ใช้ และใช้ถ่านหินในการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยผลิตได้ประมาณร้อยละ 80 ของปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศ ออสเตรเลียเป็นประเทศผู้ส่งออกถ่านหินอันดับหนึ่งของโลก โดยมีแหล่งถ่านหินในรัฐ New South Wales, Queensland, และ Victoria ออสเตรเลียยังมีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นจำนวนมากบริเวณชายฝั่งรัฐ Victoria, Western Australia, Northern Territory และในรัฐ South Australia และ Queensland ออสเตรเลียยังส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ไปประเทศญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ

ภาคการเงินและธนาคาร ธนาคารกลางออสเตรเลีย (Reserve Bank of Australia – RBA) เป็นองค์กรอิสระและรับผิดชอบเรื่องนโยบายการเงิน เสถียรภาพของระบบการเงิน และการกำหนดระเบียบการใช้จ่าย โดยมีหน่วยงานผู้วางระเบียบระบบการเงินอีกสองหน่วยงานหลัก ได้แก่ Australian Prudential Regulation Authority (APRA) และ Australian Securities and Investment Commission (ASIC) และมีสภา (council of financial regulators) ที่ประกอบด้วยผู้แทนของทั้ง 3 หน่วยงาน ซึ่งกำกับดูแลและประสานงานด้านนโยบายและการปฏิบัติ ออสเตรเลียมีธนาคารพาณิชย์ที่สำคัญ 4 ธนาคาร ได้แก่ Commonwealth Bank, ANZ Bank, National Australia Bank และ Westpac

ภาคการท่องเที่ยว คิดเป็นร้อยละ 3.9 ของ GDP ของออสเตรเลีย และร้อยละ 5.6 ของการจ้างงานทั้งหมด จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางไปออสเตรเลียลดจำนวนลงหลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 และการแพร่ระบาดของ SARS แต่ได้เพิ่มขึ้นเป็น 5.4 ล้านคน ในปี 2547-2548 โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น ยุโรปตะวันตก สหรัฐฯ และจีน

การค้าระหว่างประเทศ สินค้าส่งออกออสเตรเลียยังคงประกอบไปด้วยสินค้าเกษตรและแร่ธาตุเป็นส่วนใหญ่ ประเทศคู่ค้าสำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป สหรัฐฯ จีน และกลุ่มประเทศอาเซียน ออสเตรเลียได้ดุลการค้ากับญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวัน และนิวซีแลนด์ แต่เสียดุลการค้ากับสหภาพยุโรป สหรัฐฯ และจีน ออสเตรเลียมีความสนใจในความตกลงเขตการค้าเสรีแบบทวิภาคี (FTA) กับประเทศคู่ค้าต่างๆ โดยได้ลงนามความตกลงกับสิงคโปร์ (SAFTA) เมื่อปี 2545 นับเป็นประเทศแรกที่ออสเตรเลียลงนามด้วย หลังจากที่ได้ลงนามกับนิวซีแลนด์เมื่อ 20 ปีผ่านมา และกับไทย เมื่อเดือนเมษายน 2547 และสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2547 โดยทั้งสองความตกลงมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนมกราคม 2548 นอกจากนั้น รัฐบาลออสเตรเลียกำลังเจรจากับจีน มาเลเซีย และ UAE รวมทั้ง กับกลุ่มประเทศอาเซียนในลักษณะไตรภาคี โดยรวมนิวซีแลนด์ด้วย ส่วนกับญี่ปุ่นได้มีการประกาศเริ่มเจรจาในปี 2550 (ญี่ปุ่นเป็นตลาดนำเข้าของออสเตรเลียที่สำคัญอันดับ 1 ของออสเตรเลีย)

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเครือรัฐออสเตรเลีย

ความสัมพันธ์ทั่วไป
ไทยกับออสเตรเลียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2495 โดยมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา ซึ่งมีเขตอาณาดูแลสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐวานูอาตู หมู่เกาะโซโลมอน และปาปัวนิวกินีด้วย ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันท์มิตร และที่มีความโดดเด่นมากคือ ด้านการเมือง ความมั่นคง และการทหาร มีการส่งเสริมความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี รวมถึงการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นำระดับสูงระหว่างกันสม่ำเสมอ 

นอกจากนี้ ไทยมีสถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ (รัฐนิวเซาท์เวลส์) โดยมีนายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ และมีสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำออสเตรเลีย 5 แห่ง ได้แก่ นครเพิร์ท (รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย) นครแอดิเลด (รัฐเซาท์ออสเตรเลีย) นครบริสเบน (รัฐควีนส์แลนด์) นครเมลเบิร์น (รัฐวิกตอเรีย) และนครโฮบาร์ต (รัฐแทสเมเนีย) รวมทั้งมีสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศและสำนักงานการท่องเที่ยวประจำที่นครซิดนีย์ ออสเตรเลียมีสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย) เชียงใหม่ และภูเก็ต

ด้านการทูต
ไทยกับออสเตรเลียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2495 (ครบรอบ 60 ปี ในปี 2555) โดยปัจจุบัน ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน และการที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงเสด็จฯ ประทับในไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ในช่วงปี 2513 ถึงปี 2518 เพื่อโดยได้ทรงเข้าศึกษาและทรงเข้าประจำเหล่านักเรียนนายร้อยที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน(Royal Military College, Duntroon) ทำให้ไทยและออสเตรเลียมีความสัมพันธ์ที่พิเศษ รวมทั้งการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลีย อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม – 12 กันยายน 2505 และการเสด็จเยือนในระดับพระราชวงศ์ ทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีมีความใกล้ชิดเป็นพิเศษ ปัจจุบัน เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา ได้แก่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ และเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ได้แก่ นายเจมส์ โจเซฟ ไวส์ (James Joseph Wise)

ในระดับรัฐบาล ความใกล้ชิดระหว่างไทยและออสเตรเลียรวมถึงด้านความมั่นคง ซึ่งรวมทั้งภัยคุกคามแบบดั้งเดิม (traditional threat) และภัยในรูปแบบใหม่ ประเภท (non- traditional threat)ซึ่งรวมถึงอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ปัญหาข้ามชาติ และด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ด้านสังคม การศึกษา วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และการติดต่อระหว่างภาคประชาชน ฯลฯ นอกจากนี้ รัฐบาลทั้งสองประเทศ ยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคและพหุภาคี เช่น Asia Pacific Economic Cooperation (APEC) Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) East Asia Summit (EAS) และ World Trade Organization (World Trade Organization) และสหประชาชาติ ฯลฯ

ในระยะแรก ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นไปในลักษณะประเทศผู้ให้และประเทศผู้รับ จนกระทั่งปี 2546 ที่ไทยประกาศยกเลิกสถานะเป็นประเทศผู้รับความช่วยเหลือ และได้เปลี่ยนมาเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาผ่านการดำเนินการของสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) ความช่วยเหลือจากออสเตรเลียให้ความสำคัญในเชิงการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสนับสนุนการสร้างสมรรถนะแก่บุคลากรและโครงสร้างในประเด็นท้าทายในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ตลอดเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ออสเตรเลียยังคงให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่ข้าราชการและนักเรียนนักศึกษาไทยมาโดยตลอด ทั้งภายใต้ Colombo Plan และโครงการอื่นๆ เช่น ทุน Endeavour และการพัฒนาภายใต้กรอบลุ่มแม่น้ำโขง

กลไกความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยและออสเตรเลีย รวมถึงคณะกรรมาธิการร่วมไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Joint Commission-JC) คณะกรรมการระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (Senior Official Talks-SOT) คณะกรรมาธิการร่วมความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement Joint Commission –TAFTA JC) รวมทั้งการแลกเปลี่ยนการหารือระดับเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง และด้านความมั่นคง เช่น การประชุม Regional Security Dialogue (RSD) เป็นต้น

เศรษฐกิจและการค้า

การค้าระหว่างไทย - ออสเตรเลีย
ในปี 2556 (ม.ค.-ก.ย.) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 12,159 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 8,421 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้า 3,738 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ มูลค่าการค้าได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) ซึ่งนับตั้งแต่มีผลใช้บังคับทำให้ปริมาณการค้าขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดทั้งส่งออกและนำเข้าเมื่อเทียบกับช่วงที่ยังไม่มีความตกลงใช้บังคับ

สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เหล้ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และน้ำมันดิบ

สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ สินแร่โลหะ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ น้ำมันดิบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ถ่านหิน สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑเวชกรรมและเภสัชกรรม

การค้าในปัจจุบัน
- ออสเตรเลียเป็นคู่ค้าอันดับ 8 ของไทย และไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 9 ของออสเตรเลีย ทั้งนี้ ไทยเป็นหนึ่งใน 5 ประเทศ (นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ไทย สหรัฐอเมริกา และชิลี) ที่ลงนามความตกลงเขตการค้าเสรี (Thailand-Australia Free Trade Agreement – TAFTA) กับออสเตรเลีย โดยหลังจากที่มีการบังคับใช้ความตกลง TAFTA (1 มกราคม 2548) ปริมาณการค้าระหว่างไทยกับออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีมูลค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 158.75 เมื่อเทียบกับก่อนมีความตกลง TAFTA โดยไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า โดยในปี 2552 มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยและออสเตรเลีย คิดเป็น 12,366.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า 4,791.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ในช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม 2553 มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยและออสเตรเลีย เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.67 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยมีมูลค่า 9,996.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 4.10 ของมูลค่าการค้ารวมทั้งหมดของไทย โดยไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 2,550.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ในช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม 2553 ไทยส่งออกสินค้าไปออสเตรเลียเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.76 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยมีมูลค่า 6,273.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 5.02 ของการส่งออกสินค้าทั้งหมด
- ในช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม 2553 ไทยนำเข้าสินค้าจากออสเตรเลียเพิ่มขึ้นร้อยละ 61.01 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยมีมูลค่า 3,772.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 3.13 ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมด
- สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปออสเตรเลีย ได้แก่ ทองคำ ยานยนต์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อุปกรณ์เครื่องกรองและเครื่องปรับอากาศ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ปลา อาหารทะเลแปรรูปและข้าว ส่วนสินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากออสเตรเลีย ได้แก่ ทองคำ น้ำมันดิบ อะลูมิเนียม ถ่านหิน สินค้าประเภทเวชภัณฑ์ยา ทองแดง และข้าวสาลี

ปัญหาและอุปสรรคการค้า 
- มาตรการด้านสุขอนามัย (bio security quarantine measures) ของออสเตรเลียมีความเข้มงวดมาก โดยอ้างว่าเป็นประเทศเกาะ ทำให้สินค้าเกษตรของไทย เช่น ผัก (พริกและผลิตภัณฑ์พริก) ผลไม้สด (ทุเรียน และมะม่วง เป็นต้น) ไก่ต้มสุกแช่แข็ง ไม่สามารถเข้าไปจำหน่ายได้ หรือประสบปัญหาในการนำเข้าไปในออสเตรเลีย ทั้งนี้ ออสเตรเลียกำลังจะบังคับใช้มาตรการสุขอนามัยที่เคร่งครัดเพิ่มขึ้นกับการนำเข้ากุ้ง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อกุ้งส่งออกของไทยด้วย เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2550 หน่วยงานด้านความปลอดภัยทางชีวภาพของออสเตรเลีย (Bio security Australia) ได้ประกาศใช้มาตรการนำเข้ากุ้งชั่วคราวฉบับปรับปรุงใหม่ในระหว่างรอมาตรการวิเคราะห์ความเสี่ยงฉบับสุดท้าย คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 30 กันยายน 2550
- กฎหมายควบคุมคุณภาพอาหารตาม Australian Food Standard Code ซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อใช้ในการกักกัน (quarantine) และตรวจสอบ (inspection) คุณภาพอาหารนำเข้ามีความเข้มงวด โดยแบ่งประเภทอาหารเป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง กลาง และต่ำ หากพบว่าผู้ส่งออกไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดจะส่งสินค้ากลับ หรือทำลาย ทำให้ต้นทุนสินค้าสูง
- การใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping Duties) ในกรณีที่ ผู้ผลิตในประเทศร้องเรียนต่อรัฐบาลว่าสินค้านำเข้าก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าไทย 6 รายการที่ถูกใช้มาตรการนี้ คือ สินค้าพลาสติก (PVC) ท่อเหล็กชุบสังกะสี (Galvanized Steel Pipe) น้ำสับปะรดเข้มข้นและสับปะรดกระป๋อง (Pineapple Concentrate and Canned Pineapple) สินค้าชั้นเหล็กชนิดถอดประกอบ (Certain Steel Shelving Kits) สินค้า Certain Hot Rolled Structural Steel และสินค้า Linear Low Density Polyethylene
- สินค้าไทยถูกแย่งตลาดจากจีน และอินโดนีเซีย เนื่องจากราคาสินค้าถูกกว่า เช่น รองเท้า เสื้อผ้าสำเร็จรูป และของเด็กเล่น รวมทั้งข้าว ซึ่งออสเตรเลียสามารถผลิตได้เอง

ปัญหาและอุปสรรคทางการค้าปัจจุบัน
- มาตรฐานสุขอนามัย และกฎหมายควบคุมคุณภาพอาหารตาม Australian Food Standard Code เพื่อใช้กักกัน (quarantine) และตรวจสอบ (inspection) คุณภาพสินค้าอาหารนำเข้าที่เข้มงวดมาก หากพบว่าผู้ส่งออกไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดจะส่งสินค้ากลับหรือทำลาย ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น
- มาตรการทางภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping Duties) ต่อสินค้าไทย
- มาตรการในลักษณะที่เป็นการกีดกันที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barrier-NBT) เช่น การกำหนดมาตรฐานด้านภาษาอังกฤษเป็นเงื่อนไขแก่บุคคลที่จะเข้ามาทำงานในออสเตรเลีย เช่น พ่อครัวแม่ครัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้านอาหารไทยในออสเตรเลีย (ยังอยู่ระหว่างการเจรจา)
- การเจรจาการค้าเสรีภาคบริการในความตกลง TAFTA ประกอบด้วย การเปิดตลาด การค้าบริการเพิ่มเติม การทบทวนมาตรการปกป้องพิเศษ นโยบายการแข่งขัน และการจัดซื้อจัดจ้างโดยภาครัฐ ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน 2553 รัฐสภาไทยได้ให้ความเห็นชอบต่อกรอบการเจรจา TAFTA แล้ว ซึ่งจะมีผลให้สามารถเริ่มต้นการเจรจาการเปิดเสรีภาคบริการกับออสเตรเลีย ได้ตามพันธกรณี

การจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Thailand-Australia Free Trade Agreement - TAFTA)
- ไทยและออสเตรเลียได้ลงนามความตกลงการค้าเสรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2547 ระหว่างการเยือนออสเตรเลียของนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร) เมื่อวันที่ 4 - 6 กรกฎาคม 2547 และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548 

ประโยชน์ที่ไทยได้รับ
- การค้าระหว่างไทยกับออสเตรเลียได้ขยายตัวมากขึ้น ทั้งนี้ ในปี 2548 (ปีแรกที่ TAFTA มีผลบังคับใช้) การค้าระหว่างไทยกับออสเตรเลียมีมูลค่า 6,427.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 2.8 ของมูลค่าการค้ารวมของไทย เป็นมูลค่าการส่งออกไปออสเตรเลีย 3,174.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากออสเตรเลีย 3,253.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าสำคัญที่ไทยได้รับประโยชน์จากการทำความตกลง ได้แก่ ผักและผลไม้สด (ซึ่งออสเตรเลียประกาศอนุญาตให้นำเข้าลิ้นจี่ และลำใยสดจากไทยก่อนที่ความตกลงจะมีผลบังคับใช้) รถปิกอัพและรถยนต์ขนาดเล็ก เคมีภัณฑ์พลาสติก อาหารสำเร็จรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า และสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น 
- ตามความตกลงฯ ผลจากการที่ออสเตรเลียเปิดตลาดการค้าบริการและการลงทุนให้ไทย ทำให้ธุรกิจไทยที่มีศักยภาพในการส่งออก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ SME อาทิ ธุรกิจซ่อมรถยนต์ สถาบันสอนภาษาไทย สถาบันสอนทำอาหาร ร้านอาหารไทย และธุรกิจผลิตสินค้าทุกประเภท สามารถเข้าไปจัดตั้งและประกอบธุรกิจในออสเตรเลียได้ และการที่ออสเตรเลียผ่อนปรนเงื่อนไขการเข้าไปทำงาน ทำให้คนไทยสามารถเข้าไปทำงานได้สะดวกขึ้นเป็นการสร้างรายได้และนำเงินตราต่างประเทศ เข้าประเทศได้
- สำหรับการเปิดตลาดการค้าบริการและการลงทุนของไทย ไทยคาดหวังที่จะได้รับประโยชน์ต่อไทย เนื่องจากเป็นการเปิดตลาดในธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งส่วนใหญ่ไทยต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อเอื้อต่อนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการท่องเที่ยวในภูมิภาค
- ในระยะยาว ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศจะมีมากขึ้น ความต้องการลงทุนของออสเตรเลียในไทยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของออสเตรเลียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

สินค้าสำคัญที่ออสเตรเลียจะได้ประโยชน์
- สินค้าสำคัญที่ออสเตรเลียจะได้รับประโยชน์จากความตกลง ได้แก่ พลาสติก เหล็ก ข้าวสาลีและมอลต์ เชื้อเพลิง ทองแดง นมและผลิตภัณฑ์นม รถยนต์ขนาดใหญ่ อาหารสัตว์ สังกะสี ไวน์ และเนื้อวัว เป็นต้น 
ทั้งนี้ การที่ไทยเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้ออสเตรเลียภายใต้ตวามตกลงฯ จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยที่อาจได้รับผลกระทบและจะต้องมีการปรับตัว ได้แก่ อุตสาหกรรมโคเนื้อ โคนม และผลิตภัณฑ์นม ซึ่งมีเกษตรกรรายย่อยเป็นจำนวนมากมีระบบการผลิตที่ยังไม่มีประสิทธิภาพในการแข่งขันกับสินค้าประเภทเดียวกันที่นำเข้าจากออสเตรเลีย จึงต้องมีการปรับตัวให้ได้ภายใน 15-20 ปี 

การลงทุนและการท่องเที่ยว
การลงทุนในปี 2549 การลงทุนของออสเตรเลียในไทยที่ได้รับการอนุมัติภายใต้แผนการส่งเสริมการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีมูลค่ารวม 514 ล้านบาท (สินค้าเกษตร เหมืองแร่ ชิ้นส่วนรถยนต์ เคมีภัณฑ์และกระดาษ เครื่องไฟฟ้า สิ่งทอ) ส่วนใหญ่เป็นการร่วมทุนคิดเป็นร้อยละ 0.19 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด 
การลงทุนในปี 2550 ออสเตรเลียลงทุนในไทยมีมูลค่ารวม 1,557 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.3 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด
การลงทุนในปี 2555 ออสเตรเลียลงทุนในไทยมีมูลค่า 2,850 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย

การท่องเที่ยว 
ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในตลาดท่องเที่ยวหลักของไทย โดยในปี 2555 นักท่องเที่ยวออสเตรเลียเดินทางมาไทยจำนวน 930,000 คน และนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปออสเตรเลียจำนวน 83,900 คน 

ความร่วมมือด้านการทหาร
ไทยกับออสเตรเลียเคยมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในช่วงที่อยู่ภายใต้สนธิสัญญา SEATO แต่หลังจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปทำให้ความร่วมมือลดลง ไทยและออสเตรเลียจึงได้จัดทำความตกลงร่วมมือทางทหารทวิภาคีตั้งแต่ปี 2515 โดยออสเตรเลียได้ให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินการ ตามโครงการความร่วมมือของกองทัพภายใต้ Defence Cooperation Program (DCP) ในปี 2545-2546 ออสเตรเลียได้ให้เงินสนับสนุนแก่ไทย 5.3 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย

ความร่วมมือทางทหารที่สำคัญ มีดังนี้
1. ด้านการฝึกร่วม มีการฝึกร่วมกันทั้งสามเหล่าทัพ โดยมีการฝึกต่าง ๆ ที่สำคัญ คือ
1.1 Temple Jade & Chapel Gold เป็นการแลกเปลี่ยนกองร้อยทหารราบไปฝึกร่วม
1.2 Night Panther การฝึกผสมระหว่างหน่วยรบพิเศษของกองทัพบก
1.3 Day Panther การฝึกในการต่อต้านการก่อการร้าย
1.4 TAANOK INSII การฝึกการเฝ้าตรวจทางทะเลระหว่างกองทัพเรือ
1.5 AUSTHAI การฝึกผสมระหว่างกำลังทางเรือ และกำลังทางอากาศ
1.6 KAKADU การฝึกผสมทางเรือโดยเน้นการติดต่อสื่อสารและการปฏิบัติงานร่วม
1.7 Thai Boomerang การฝึกปฏิบัติการทางอากาศระหว่างกองทัพอากาศ
1.8 Wyren Sun การฝึกปฏิบัติการค้นหา ช่วยชีวิตและกู้ตัวประกันระหว่างกองทัพอากาศ
1.9 Pirab Jabiru การฝึกการรักษาสันติภาพระหว่างกองทัพ

2. ในแต่ละปีออสเตรเลียให้ทุนแก่นายทหารไปศึกษาในหลักสูตรทางทหารในออสเตรเลีย ปีละประมาณ 100 นาย อาทิ หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรและหลักสูตรฝ่ายเสนาธิการ นอกจากนี้ฝ่ายไทยยังได้ส่งนักเรียนนายร้อย นักเรียนนายเรือ และนักเรียนนายเรืออากาศ เข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนนายร้อยรวมเหล่าออสเตรเลีย (ADFA) และโรงเรียนนายร้อยทหารบกออสเตรเลีย (Duntroon) เป็นประจำทุกปี

3. ออสเตรเลียได้ให้ความช่วยเหลือในด้านการปรับปรุงโครงสร้างอัตรากำลังและระบบการบริหารกองทัพไทย

4. การจัดทำโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยร่วมกันระหว่างกองทัพไทยและออสเตรเลีย เช่นโครงการ Ship to Shore, HF Communication และ Ammunition Propellant Surveillance นอกจากนี้ ยังมีโครงการให้ความช่วยเหลือในการปรับปรุงระบบ IT ของกระทรวงกลาโหมไทย การรวบรวมข้อมูลในการบันทึกพิกัดจากดาวเทียม GPS และการตรวจสอบความมั่นคงของโครงสร้างอากาศยาน

5. ความร่วมมือในการส่งกำลังบำรุงให้แก่ทหารไทยในระหว่างการปฏิบัติการในติมอร์เลสเต นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการหารือในเรื่องความร่วมมือด้านการจัดหายุทโธปกรณ์

6. มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุง ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลีย ฉบับใหม่ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2547

ความร่วมมือด้านการทหารปัจจุบัน 
ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือที่ดีในในด้านการทหารและด้านกลาโหม ภายใต้โครงการความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ (Defence Cooperation : DC) ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 30 ปี โดยมีการสนับสนุน ช่วยเหลือจากออสเตรเลียในด้าน การฝึกศึกษา การวิจัยและการพัฒนาการทหาร การส่งกำลังบำรุง การฝึกร่วม/ ฝึกผสมระหว่างกัน ตลอดจนการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ ในระดับกองทัพมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้นำเหล่าทัพทั้งสามของไทย มีการฝึกร่วมระหว่างกองทัพได้แก่ การฝึก Cobra Gold การฝึก Pirap Jabiru การฝึก Night Panther การฝึก Kakadu การฝึก Aus/Thai Taa Nok In Aii การฝึก Pitch Black การฝึก Boomerang การฝึก Talisman Sabre การฝึก Day/Dawn Panther เป็นต้น 

นอกจากนั้น มีการฝึกอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย และออสเตรเลียให้ทุนอบรม Defence Cooperation ในปี 2552-2553 และเสนอทุน ANBSA ( Australian Boarding School Association) ณ วิทยาลัยการทหารดันทรูน วิทยาลัยทหาร Duntroon ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไป รวมทั้งออสเตรเลียส่งทหารจำนวน ๒ นายมาศึกษาภาษาไทยและมาศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารของไทยด้วย ทั้งนี้ ฝ่ายกลาโหมของไทยกับออสเตรเลียมีการประชุมในกรอบคณะกรรมการอำนวยการและประสานงาน (Joint Australia-Thailand Defence Committee)
การหารือในระดับรัฐมนตรีกลาโหม ได้แก่ ในกรอบ ASEAN Defense Minister Meeting Plus (ADMM Plus) 

ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย
(1) ออสเตรเลียเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐอเมริกาในการต่อต้านการก่อการร้าย ในภูมิภาค และมีความกระตือรือร้นในการส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นนี้กับไทย โดยเห็นว่าการรักษาความมั่นคงในเอเชียเป็นผลประโยชน์ร่วมของทั้งสองประเทศ 

(2) ไทยเป็นประเทศแรกที่ลงนามบันทึกความเข้าใจด้านการต่อต้านการก่อการร้าย กับออสเตรเลีย (ปี 2545) ทำให้หน่วยงานความมั่นคงของทั้งสองประเทศมีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด โดยออสเตรเลียเน้นการเพิ่มขีดความสามารถ (capacity building) และถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากรของไทย ภายใต้โครงการ regional Regional outreach Outreach ซึ่ง Australian Federal Police (AFP) ให้ความช่วยเหลือและร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้ง software และ hardware อาทิ การส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการพิสูจน์หลักฐานวัตถุระเบิด (bomb forensics) มาช่วยเหลือหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยภายหลังการเกิดเหตุการณ์ระเบิด ในกรุงเทพฯ ในช่วงปลายปี 2549 ถึงต้นปี 2550 การจัดตั้ง Bomb Data Centre ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (เมื่อ 17 กันยายน 2550) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายคณะทำงาน Southeast Asian Bomb Data Centres เพื่อเป็นศูนย์รวบรวมและวิเคราะห์การก่อวินาศกรรมที่ใช้ระเบิดในประเทศและเชื่อมโยงข้อมูลข่าวกรองของประเทศในภูมิภาค การให้ความช่วยเหลือซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการแก้ไขสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ของไทย เช่น การติดตั้งอุปกรณ์กล้องวงจรปิด การส่งผู้เชี่ยวชาญทางนิติเวชวิทยารวมทั้งการนำคณะจาก 3 จังหวัดภาคใต้ ของไทยไปเยือนออสเตรเลียเพื่อดูงานส่งเสริมแนวทางพหุสังคม (โครงการ Interfaith) ในออสเตรเลีย 

(3) ความร่วมมือด้านข่าวกรอง – ไทยและออสเตรเลีย มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร จัดการอบรม จัดสัมมนา และการเยือนระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง โดยสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และ Australian Secret Intelligence Service (ASIS) สลับกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมแลกเปลี่ยนข่าวกรองกันเป็นประจำทุกปี (ครั้งล่าสุด ออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเมื่อวันที่ 15-18 สิงหาคม 2552)

ความร่วมมือด้านกฎหมาย
1) การเจรจาเรื่องสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับออสเตรเลีย ปัจจุบันไทยกับออสเตรเลียใช้สัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างประเทศไทยกรุงสยามกับอังกฤษ ปี 2454 (ค.ศ. 1911 (ร.ศ. 129)) ซึ่งใช้บังคับกับออสเตรเลียด้วย รวมถึงการให้ความร่วมมือโดยอาศัยหลักการประติบัติต่างตอบแทนเป็นพื้นฐาน ในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ฝ่ายออสเตรเลียขอให้ไทยพิจารณากำหนดการเจรจาจัดทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับออสเตรเลียเป็นการเฉพาะและทั้งสองประเทศได้เริ่มประชุมเจรจาเรื่องนี้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2553

2 ) สนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางอาญา (Treaty on Mutual Assistance in Criminal Matters – MLAT) มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2552

ความร่วมมือการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ 
ไทยและออสเตรเลียมีบทบาทสำคัญในการริเริ่มกระบวนการบาหลี ซึ่งเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลักลอบขนคนเข้าเมือง การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติ (Bali Process Regional Ministerial Conference on People Smuggling, Trafficking in Persons and Related Transnational Crimes) ซึ่งเริ่มเมื่อปี 2545 ประกอบด้วยประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกกว่า 40 ประเทศ และมีออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย ไทย องค์การระหว่างประเทศเพื่อการย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration – IOM) และข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees – UNHCR) เป็นสมาชิกในกลุ่มอำนวยการ (Steering Group) ของกระบวนการโดยไทยมีบทบาทสำคัญในกรอบการพัฒนา และการบังคับใช้กฎหมาย

นอกจากนี้ ออสเตรเลียมองว่าไทยเป็นประเทศหน้าด่านของปัญหา เนื่องจากไทย เป็นทั้งประเทศต้นทาง ทางผ่าน และปลายทางของการค้ามนุษย์ โดยออสเตรเลียพยายามให้ความช่วยเหลือด้านการเพิ่มขีดความสามารถแก่ไทยผ่านความร่วมมือในกรอบต่างๆ ทั้งกรอบทวิภาคี กระบวนการบาหลี และ Asia Regional Trafficking in Persons Project (ARTIP) ซึ่งเป็นโครงการให้ความช่วยเหลือด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์แก่ประเทศกัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว พม่า ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม

การรับผู้ลี้ภัยไปตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลีย
ออสเตรเลียเป็นประเทศผู้รับผู้ลี้ภัยจากประเทศต่างๆ ไปตั้งถิ่นฐานมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก (ปีละประมาณ 13,750 คน) โดยได้แสดงความสนใจรับผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวม้งลาวในไทยไปตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลีย โดยหยิบยกขึ้นหารือกับฝ่ายไทยในหลายเวที ซึ่งภายหลังจากที่ไทยส่งชาวม้งลาวเหล่านี้กลับลาวแล้ว ออสเตรเลียก็ได้แสดงความประสงค์ต่อรัฐบาลลาวว่าจะรับคนเหล่านี้ไปตั้งถิ่นฐาน ในออสเตรเลีย นอกจากนี้ ในส่วนของผู้หนีภัยการสู้รบจากในพม่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวในไทย ออสเตรเลียเป็นประเทศที่รับคนเหล่านี้ไปตั้งถิ่นฐานมากเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ (โดยในปี 2552 ออสเตรเลียรับผู้หนีภัยฯ ไปทั้งสิ้นประมาณ 2,200 คน)

ความช่วยเหลือจากออสเตรเลียในเรื่องประเด็นท้าทายใหม่ ๆ 
ถึงแม้ว่าไทยจะประกาศยกเลิกสถานะประเทศผู้รับเงินบริจาคเพื่อการพัฒนาตั้งแต่ ปี 2548 ออสเตรเลียยังคงให้เงินช่วยเหลือไทยผ่านโครงการต่างๆ ขององค์กร AusAID โดยใน ปี 2550 ออสเตรเลียให้ความช่วยเหลือไทยมูลค่า 5.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปรับนโยบายความร่วมมือกับไทยในสาขาที่เป็นประเด็นท้าทายใหม่ ๆ และผ่านกรอบความร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การป้องกันโรคติดต่อร้ายแรง โดยเฉพาะโรคเอดส์ การป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติธรรมชาติ โดยภายหลังเหตุการณ์สึนามิที่ภูเก็ต ออสเตรเลียได้จัดทำโครงการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยแถบชายฝั่งอันดามัน อนุมัติเงินช่วยเหลือมูลค่า 4 แสนดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาขีดดความสามารถ แก่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไทย ออสเตรเลียให้ความสำคัญต่อการป้องกันภัยพิบัติเป็นพิเศษและได้สนับสนุนให้ Asian Disaster Preparedness Center (ADPC) ในไทยเป็นศูนย์ให้ความช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกด้วย 

ความร่วมมือด้านวิชาการและความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา
ความร่วมมือด้านวิชาการและการพัฒนาเริ่มมาจากการให้ความร่วมมือตามแผนโคลัมโบ และพัฒนาเป็นการให้แบบทวิภาคีจนถึงปัจจุบัน โดยได้มีการลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2532 การให้ความร่วมมือทางวิชาการของรัฐบาลออสเตรเลียแก่ไทยส่วนใหญ่กระจายอยู่ในสาขาเกษตร การศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

ในปี 2544 รัฐบาลออสเตรเลียได้ริเริ่มโครงการความร่วมมือภาครัฐไทย - ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Government Sector Linkages Program - TAGSLP) ซึ่งเป็นโครงการในกรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่าง AusAID กับรัฐบาลไทย มีเป้าหมายที่จะช่วยปรับปรุงองค์กรและเสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรภาครัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาที่มีภารกิจสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของออสเตรเลียต่อไทย ในปีงบประมาณ 2546-47 รัฐบาลออสเตรเลียจัดสรรความช่วยเหลือทวิภาคีแก่ไทย จำนวน 7 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ลดลงจากปีก่อน 5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยความช่วยเหลือดังกล่าว มุ่งเน้นโครงการด้านการเพิ่มขีดความสามารถของหน่วยงานไทย การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การสนับสนุนแนวทางการวางนโยบายเศรษฐกิจและสังคม และความร่วมมือไตรภาคี และยังให้ ความช่วยเหลืออีก 8.1 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียสำหรับการดำเนินกิจกรรมในกรอบเอปคและอาเซียน โดยผ่าน AusAID ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2546 รัฐบาลไทยได้ประกาศไม่รับการช่วยเหลือจากต่างประเทศอีกต่อไป (aid recipient) ซึ่งทำให้งบของ AusAID ให้ไทยลดลงอย่างมากในปีงบประมาณ 2547-2548 อย่างไรก็ดี งบ AusAID ที่จัดสรรให้ไทยสำหรับปีงบประมาณ 2549-2550 เป็นจำนวนเงิน 5.3 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยเน้นความช่วยเหลือในการเพิ่มขีดความสามารถของไทยด้านการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการบริหารภาครัฐ โดยการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานรัฐของไทยกับออสเตรเลีย

ไทยกับออสเตรเลียลงนามในบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาฉบับแรกตั้งแต่ปี 2495 และได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2547 ปัจจุบันอยู่ในช่วงพิจารณาลงนามบันทึกความเข้าใจ ฉบับที่ 3 ซึ่งยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ คณะทำงานร่วม (Joint Working Group - JWG) ได้ตกลงที่จะร่วมมือกันในสาขา Independent Leadership, Climate Change, Early Childhood, ICT in School, Curriculum, Science, Communication to Young People และ Decentralization to School ทั้งนี้ ในปี 2553 ฝ่ายไทยได้พยายามที่จะรวบรวมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างไทยและออสเตรเลีย เพื่อเพิ่มความสำคัญของความร่วมมือในด้านนี้ เพื่อให้ไทยได้รับประโยชน์จากวิทยาการที่ก้าวหน้าของออสเตรเลีย โดยเฉพาะด้านพลังงานทดแทนและด้านการแปรรูปสินค้าเกษตรและมาตรฐานอาหาร

ทั้งนี้ ความร่วมมือล่าสุดในด้านการดัดแปรสภาพอากาศ ได้แก่การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานเทคโนโลยีฝนหลวงให้แก่รัฐควีนส์แลนด์ ตามที่มุขมนตรีรัฐควีนส์แลนด์ ได้ขอพระราชทานเมื่อปี 2550 เพื่อบรรเทาความแห้งแล้งในรัฐนั้น ซึ่งจะเป็นผลให้มีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐควีนส์แลนด์กับไทยในเรื่องนี้ต่อไป 

สืบเนื่องจากการการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 1 ที่นครเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย ในระหว่างวันที่ 6-10 พฤษภาคม 2552 รัฐบาลออสเตรเลีย ได้มอบเงินจำนวน 1 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย เพื่อสนับสนุนโครงการด้านการศึกษาแก่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้สนับสนุนการฝึกอบรมครูในภาคใต้ ในวิชาภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ จัดดำเนินโครงการโดยคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา และกำหนดจะเสร็จสิ้นในช่วงเดือนเมษายน 2554

ศูนย์ออสเตรเลียศึกษา (Australian Study Center) ตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2538 ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปัจจุบันได้ย้ายมาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นมากในระยะหลังสะท้อนได้จากการเชื่อมโยงในระดับประชาชน โดยออสเตรเลียถือเป็นประเทศที่นักเรียน นักศึกษาไทยนิยมเดินทางไปศึกษาเป็นอันดับ 1 (26,000 คน ในปี 2552) จำนวนนักเรียน นักศึกษาไทยมีจำนวนมากเป็นอันดับ 4 ในออสเตรเลีย รองจากจีน อินเดีย และเกาหลีใต้ และชาวออสเตรเลียก็นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก (830,000 คน 
ในปี 2552) ซึ่งเป็นจำนวนมากเป็นอันดับ 7 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด

ความร่วมมือทางด้านการเกษตร 
ไทยและออสเตรเลียมีความร่วมมือด้านการพัฒนาการเกษตรอยู่หลายโครงการ และมีการประชุมเกี่ยวกับความร่วมมือดังกล่าว ทั้งในด้านการค้าและวิชาการ ที่สำคัญคือ การประชุมคณะทำงานร่วม ทางวิชาการ ด้านกักกันโรคและตรวจสอบอาหาร โดยการประชุมครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 3 - 4 มีนาคม 2546 ที่จังหวัดเชียงใหม่ได้เปลี่ยนชื่อกรอบการประชุมดังกล่าวเป็นคณะทำงานด้านการเกษตร 

นอกจากนั้น มีความร่วมมือทางด้านวิชาการ อาทิ ความร่วมมือในด้านการทำวิจัยและพัฒนาระหว่าง Australian Center for International Agricultural Research กับสถาบันต่างๆ ด้านการเกษตรของไทย และความร่วมมือในเรื่องระบบวิเคราะห์ความเสี่ยงการนำเข้าพืชผลซึ่ง Australian Quarantine and Inspection Service ให้ต่อกรมวิชาการเกษตร นอกจากนี้ ความตกลง TAFTA ได้กำหนดกรอบสำหรับความร่วมมือด้านสุขอนามัย โดยมีคณะกรรมการร่วมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา ตลอดจนพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถของไทยด้วย

ความตกลงสำคัญ ๆ กับไทย
- ความตกลงทางวัฒนธรรม (ธันวาคม 2517)
- ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนา (กุมภาพันธ์ 2532)
- ความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีจากเงินได้ (สิงหาคม 2532)
- แถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการเข้าเมือง โดยผิดกฎหมาย และการลักลอบค้ามนุษย์ตลอดจนการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่นฐาน (กรกฎาคม 2544)
- ความตกลงริเริ่มโครงการยุวทูตออสเตรเลีย (ลงนามเมื่อ กันยายน 2540)
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครกับนครบริสเบน (ลงนามเมื่อ 2540) 
- ความตกลงว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา (กรกฎาคม 2544)
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศ(ตุลาคม 2545) 
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติและการพัฒนาความร่วมมือของตำรวจ (มิถุนายน 2546)
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการป้องกันการลักลอบค้ามนุษย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ธันวาคม 2546)
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุง (กุมภาพันธ์ 2547)
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุง (มกราคม 2547)
- ความตกลงการค้าเสรี (Thailand-Australia Free Trade Agreement - TAFTA) (กรกฎาคม 2547)
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงิน
เพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ลงนามเมื่อ มิถุนายน ๒๕๔๗)
- ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (กรกฎาคม 2547)
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนภายใต้ Work and Holiday Visas (กรกฎาคม 2547)
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรกฎาคม 2547)
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา (กรกฎาคม 2547)
- แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรกฎาคม 2547)
- ความตกลงว่าด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญา (กรกฎาคม 2549)

ความร่วมมือที่อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดทำ
- บันทึกความเข้าใจระหว่างองค์การวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือรัฐออสเตรเลีย
และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (อยู่ระหว่างรอลงนาม)
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาฉบับใหม่ (อยู่ระหว่างรอลงนาม)

การแลกเปลี่ยนการเยือน

ระดับพระราชวงศ์
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม - 12 กันยายน 2505
- สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ เยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ 5 ครั้ง ในระหว่างวันที่ 8 -17 ธันวาคม 2528 วันที่ 7 - 11 เมษายน 2530 วันที่ 25 กันยายน - 4 ตุลาคม 2531 วันที่ 19 - 28 เมษายน 2542 และวันที่ 18 - 24 สิงหาคม 2546 
- สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 16 - 26 ตุลาคม 2547 และเสด็จฯ เยือนนครซิดนีย์ เพื่อทรงเป็นองค์ประธานในการแสดงคอนเสิร์ตของคุณพลอยไพลิน เจนเซ่น พร้อมด้วยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญาฯ ระหว่างวันที่ 18 - 20 กรกฎาคม 2543 
- สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี เสด็จเยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง ระหว่างวันที่ 4 - 7 ธันวาคม 2533 และระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม -19 กันยายน 2535 และได้เสด็จเยือนออสเตรเลียอีก 2 ครั้ง ระหว่างวันที่ 12 - 19 มิถุนายน 2542 และวันที่ 14 - 23 ธันวาคม 2542

ระดับผู้นำรัฐบาลไทย
- พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เยือนอย่างเป็นทางการระหว่าง วันที่ 31 สิงหาคม - 3 กันยายน 2524
- พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เยือนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม - 3 กันยายน 2532
- นายชวน หลีกภัย เยือนอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 3 - 9 กุมภาพันธ์ 2538 
- วันที่ 9-15 กรกฎาคม 2541 นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ
- วันที่ 2-6 กรกฎาคม 2544 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ
- พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เยือนอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง ระหว่างวันที่ 29 - 31 พฤษภาคม 2545 และ 4 - 6 กรกฎาคม 2547
- พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เยือนรัฐออสเตรเลียตะวันตก เพื่อบรรยายพิเศษในหัวข้อ "The Role of the Monarchy in Thailand" ณ University of Western Australia ระหว่างวันที่ 24 - 27 พฤศจิกายน 2545 
- วันที่ 7-9 กันยายน 2550 พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เยือนออสเตรเลีย เพื่อเข้าร่วม การประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 15 ที่นครซิดนีย์
- วันที่ 6-10 พฤษภาคม 2552 นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนออสเตรเลียเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 1 ที่นครเพิร์ท ร่วมกับ นายสตีเฟน สมิท (Stephen Smith) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย
- วันที่ 26-29 พฤษภาคม 2555 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ

ระดับผู้นำรัฐบาลออสเตรเลีย
- นายกรัฐมนตรี Bobert Hawke ปี 2532 
- นายกรัฐมนตรี Paul Keating ปี 2537
- นายกรัฐมนตรี John Howard เยือนเมื่อวันที่ 23-26 เมษายน 2541 แวะผ่านไทยเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2545 และเข้าร่วมการประชุมผู้นำ APEC ที่กรุงเทพ ฯ ระหว่างวันที่ 20-21 ตุลาคม 2546 และครั้งล่าสุดแวะผ่านไทยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2548
ระดับมุขมนตรีและรัฐมนตรี
- วันที่ 10 เมษายน 2545 นายจอห์น โฮวาร์ด (John Howard) นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียแวะผ่านประเทศไทย 
- วันที่ 20-21 ตุลาคม 2546 นายจอห์น โฮวาร์ด (John Howard) นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเข้าร่วมการประชุมผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๑๑ ที่กรุงเทพฯ 
- The Hon. Peter Beattie, Premier of Queensland, 14-15 กรกฎาคม 2547
- The Hon. Clare Martin, Chief Minister of the Northern Territory, 19-21 กรกฎาคม 2547
- วันที่ 19-20 มิถุนายน 2541 นายอเล็กซานเดอร์ ดาวน์เนอร์ (Alexander Downer) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย เยือนไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุม Friends of Cambodia
- วันที่ 20-23 พฤษภาคม 2545 นายอเล็กซานเดอร์ ดาวน์เนอร์ (Alexander Downer) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย เยือนไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุม East Asia Young Leader’s Dialogue หรือ Coolum Forum ครั้งที่ 3 ที่จังหวัดภูเก็ต
- The Hon. Robert Hill, Minister for Defence, 2-4 เมษายน 2548
- The Hon. Philip Ruddock, Auditor-General, 22-25 เมษายน 2548
- The Hon. Henry Palaszczuk, Minister for Primary Industries and Fisheries of Queensland, 15-18 พฤษภาคม 2548
- Senator Christopher Ellison, Minister for Customs and Justice, 22-25 เมษายน 2548
- The Hon. Alexander Downer, Minister for Foreign Affairs, 26 กรกฎาคม 2548
- The Hon. Ian Macfarlane, Minister for Industry, Tourism, and Resources, 28-30 กันยายน 2548
- The Hon. Steve Bracks, Premier of Victoria, 20-23 เมษายน 2549
- Senator Amanda Vanstone, Minister for Immigration and Multicultural Affairs, 24-28 มิถุนายน 2549
- Senator Kim Chance, Minister for Agriculture and Food of Western Australia, 22 กรกฎาคม-1 สิงหาคม 2549
- The Hon. Alexander Downer, Minister for Foreign Affairs, 13 กุมภาพันธ์ 2550 ในโอกาสแวะผ่านประเทศไทย โดยได้หารือกับนาย นิตย์ พิบูลสงคราม รมว. กระทรวงการต่างประเทศ เรื่องสถานการณ์การเมืองไทยและความคืบหน้าในการฟื้นฟูประชาธิปไตย การแก้ไข พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว มาตรการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท สถานการณ์ภาคใต้ เป็นต้น
- The Hon. David Llewellyn, Minister of Energy of Tasmania, 14-16 กุมภาพันธ์ 2550
- วันที่ 2-4 กรกฎาคม 2551 นายสตีเฟน สมิท (Stephen Smith) รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศออสเตรเลีย เยือนไทย ในฐานะแขกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 
- วันที่ 22-23 กรกฎาคม 2552 นายสตีเฟน สมิท (Stephen Smith) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย เยือนไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนครั้งที่ 42 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (ASEAN Ministerial Meeting/ Post Ministerial Conference / ASEAN Regional Forum) ที่จังหวัดภูเก็ต
- วันที่ 24-25 ตุลาคม 2552 นายเควิน รัดด์ (Kevin Rudd) นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เยือนไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุม East Asia Summit (EAS) ครั้งที่ 4 ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
- วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2556 นายบ๊อบ คาร์ (Bob Carr) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย เยือนไทย ในโอกาสนี้ ได้เข้าเยี่ยมคารวะและพบหารือกับนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

**************************

สถานะ ณ พฤษภาคม 2557
กองแปซิฟิกใต้ กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ โทร. 0-2203-5000 ต่อ 13081 โทรสาร. 0-2643-5119 E-mail : [email protected]

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ

เอกสารประกอบ

world-20120827-093306-584312.pdf
world-20130719-174145-990600.pdf