การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูต และแนวปฏิบัติต่อผู้มีเอกสิทธิ์ฯ สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูต และแนวปฏิบัติต่อผู้มีเอกสิทธิ์ฯ สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

วันที่นำเข้าข้อมูล 15 ส.ค. 2562

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 1,487 view

เมื่อวันที่ ๒๖ – ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ กรมพิธีการทูต กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมจัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูตและแนวปฏิบัติต่อผู้มีเอกสิทธิ์ฯ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องแซฟไฟร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยต่าง ๆ ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจสันติบาลสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว รวมถึงตำรวจภูธรจากจังหวัดที่มีสถานกงสุลใหญ่ต่างประเทศประจำประเทศไทยและองค์การระหว่างประเทศตั้งอยู่ ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา และภูเก็ต เข้าร่วมการสัมมนาฯ วันละประมาณ ๑๒๐ นาย โดยมีนายโวสิต วรทรัพย์ รองอธิบดีกรมพิธีการทูต และ พ.ต.อ. สุระพันธุ์ ไทยประเสริฐ รองผู้บังคับการกองการต่างประเทศ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน ในวันที่ ๒๖ มิถุนายน และนางชนิดา กมลนาวิน รองอธิบดีกรมพิธีการทูต และ พ.ต.อ. ปนิธาน สันติเพ็ชร์ รองผู้บังคับการ กองการต่างประเทศ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน ในวันที่ ๒๗ มิถุนายน ตามลำดับ

การสัมมนาฯ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูต ตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต ค.ศ. ๑๙๖๑ และอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุล ค.ศ. ๑๙๖๓ รวมถึงความตกลงระหว่างองค์การระหว่างประเทศกับรัฐบาลไทย โดยผู้เข้าร่วมการสัมมนาฯ ได้ระดมสมองและแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่เหมาะสมต่อสถานการณ์จำลองในหัวข้อต่าง ๆ เช่น การกระทำผิดกฎจราจรการอารักขาและคุ้มกันสถานที่ การแอบอ้างเป็นผู้มีเอกสิทธิ์และความคุ้มกัน และคดีอุกฉกรรจ์ โดยในภาพรวมการสัมมนาฯ ได้เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวต่อผู้มีเอกสิทธิ์ฯ และความมั่นใจให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในกรณีประสบเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้มีเอกสิทธิ์ฯ โดยเน้นหลักการพื้นฐานว่าผู้มีเอกสิทธิ์ฯ ทุกคนจะต้องเคารพกฎหมายภายในของประเทศไทย ทั้งนี้ กรมพิธีการทูตและสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่างเห็นว่า การสัมมนาฯ เป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายของไทยและกระชับความร่วมมือระหว่างหน่วยงานราชการไทยกับคณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย โดยได้จัดการสัมมนาฯ ร่วมกันเป็นปีที่สองจากการประเมินผลพบว่า การสัมมนาฯ ช่วยส่งเสริมความร่วมมือและความเข้าใจอันดีระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและคณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย

ปัจจุบัน กรมพิธีการทูตอำนวยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันให้กับผู้มีเอกสิทธิ์ฯ มากกว่า ๑๐,๐๐๐ ราย และสำนักงานของต่างประเทศที่มีเอกสิทธิ์ฯ มากกว่า ๒๐๐ แห่ง ทั้งนี้ มีแนวโน้มว่าจำนวนผู้มีเอกสิทธิ์ฯ ในประเทศไทยจะเพิ่มมากขึ้นตามนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางขององค์การระหว่างประเทศและการประชุมระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย (Geneva of Asia) โดยเฉพาะภายหลังจากที่ พ.ร.บ. เอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับองค์การระหว่างประเทศและการประชุมระหว่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดยคาดว่า จะมีการเปิดสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศภายใต้ พ.ร.บ.ฯ ฉบับนี้ มากกว่า ๑๐ แห่ง

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ