สรุปการแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 13 ธันวาคม 2568

สรุปการแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 13 ธันวาคม 2568

วันที่นำเข้าข้อมูล 13 ธ.ค. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 13 ธ.ค. 2568

| 653 view

สรุปการแถลงข่าวพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม 2568 เวลา 15.00 น.

ณ ห้องแถลงข่าว และทาง FB/Youtube/TIKTOK LIVE กต.

 

ตามที่นายกรัฐมนตรีได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และได้แถลงข่าวผลการหารือแล้วเมื่อค่ำวันที่ 12 ธันวาคม 2568 อย่างไรก็ดี หลังจากที่มีการโพสต์สื่อสังคมออนไลน์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บนแพลตฟอร์ม Truth Social รวมถึงจากพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ มีประเด็นไทยประสงค์ชี้แจงเพิ่มเติม ดังนี้

(1) ฝ่ายไทยขอบคุณประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และหวังว่าจะเห็นสันติภาพเกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าประเทศไทยต้องการสันติภาพเช่นกัน แต่สันติภาพไม่ได้มาจากฝ่ายเดียว อีกฝ่ายก็ต้องพร้อมที่จะเลือกสันติภาพด้วยเช่นกัน

(2) ไทยมีข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับข้อความของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งสะท้อนว่าฝ่ายสหรัฐฯ อาจไม่เข้าใจถึงข้อเท็จจริงทั้งหมดของสถานการณ์ หรือเป็นไปได้ว่าฝ่ายสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลจากแหล่งที่จงใจทำให้ข้อมูลนั้นคลาดเคลื่อนไป โดยเฉพาะการระบุว่าเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดของทหารไทยเป็น “roadside accident” ขณะที่ความจริงนั้นชัดแล้วว่า การวางทุ่นระเบิด ซึ่งเกิดขึ้นถึง 7 ครั้งแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นอุบัติเหตุ เป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่โดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งได้รับการยืนยันจากคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน

ในวันนี้เช่นกัน ที่เกิดเหตุยิงจรวด BM-21 จากฝั่งกัมพูชาเข้ามายังพื้นที่พลเรือนฝั่งไทยใน จ. ศรีสะเกษ เป็นเหตุให้มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งการโจมตีเช่นนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ

(3) ในประเด็นเรื่องการหยุดยิง (ceasefire) คำถามสำคัญอยู่ที่ฝ่ายกัมพูชาว่ามีความพร้อมเมื่อใด เนื่องจากข้อตกลงหยุดยิงไม่อาจเกิดขึ้นได้จากความปรารถนาเพียงฝ่ายเดียว หากแต่ต้องอาศัยความพร้อมและความจริงใจของทุกฝ่าย และจะต้องมีการหารือกัน อย่างไรก็ดี เหตุการณ์โจมตีพื้นที่พลเรือนโดยฝ่ายกัมพูชาที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าวันนี้ ไม่สะท้อนถึงความพร้อมดังกล่าว และยังคงเป็นรูปแบบพฤติกรรมเดิมของกัมพูชา คือการกล่าวอย่างหนึ่งแต่ปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาที่แท้จริง และสร้างความได้เปรียบให้ฝ่ายตนในเวทีระหว่างประเทศ

ที่สำคัญต้องมีการประเมินสถานการณ์ของฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ ซึ่งผู้นำทั้งสองได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายสื่อสารกันต่อไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ รับทราบเรื่องนี้เช่นกัน กระทรวงการต่างประเทศจะประสานงานกับฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิด

(4) ขอเน้นย้ำว่าประเทศไทยมิได้ดำเนินปฏิบัติการทางทหารที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ แต่เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับหลักความได้สัดส่วน (proportionality) กับปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายกัมพูชา

(5) ฝ่ายไทยผิดหวังต่อข้อความของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยและประเทศไทย ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเป็นพันธมิตรหลักนอกกลุ่มนาโต้ (Major Non-NATO Ally) ไทยและสหรัฐฯ ได้ยืนเคียงข้างกันผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ร่วมกันมาหลายครั้ง และความสัมพันธ์ของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันด้านความมั่นคง

(6) สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเสนอให้ใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม (satellite imageries) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปะทะ นั้น ฝ่ายไทยไม่มีข้อขัดข้องต่อข้อเสนอดังกล่าว เรายึดมั่นในความโปร่งใสและพร้อมให้เกิดการตรวจสอบ อย่างไรก็ดี การตรวจสอบควรครอบคลุมทั้งกรณีการปะทะและประเด็นทุ่นระเบิดควบคู่กันไป ซึ่งไทยได้เสนอให้มีการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-finding Mission) ที่เป็นอิสระ เพื่อตรวจสอบกรณีการวางทุ่นระเบิดใหม่ของกัมพูชา ในที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ที่เจนีวา เมื่อต้นเดือนนี้

(7) ภัยคุกคามจากกัมพูชาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการปะทะบริเวณชายแดนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภัยคุกคามในรูปแบบอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการค้ามนุษย์ และก่อให้เกิดเหยื่อทั้งภายในและนอกภูมิภาค ประชาคมโลกจึงจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการปราบปรามภัยคุกคามดังกล่าว ในส่วนของประเทศไทย ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ในบทบาทของตน โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ระหว่างวันที่ 17–18 ธันวาคม 2568 ที่กรุงเทพฯ

(8) ขอบคุณฝ่ายสหรัฐฯ ที่ไม่ได้ผูกโยงหรือนำประเด็นภาษีนำเข้ามากดดันไทย และได้อำนวยความสะดวกให้เกิดการหารือเรื่องภาษีอีกครั้งในระดับผู้ปฏิบัติ (working level) ซึ่งเป็นท่าทีที่ฝ่ายไทยย้ำมาโดยตลอดว่าประเด็นการค้าและผลประโยชน์ร่วมของสองประเทศไม่ควรถูกนำมาผูกโยงกับสถานการณ์ชายแดน

(9) ประเด็นที่ไทยมีความห่วงกังวลอย่างยิ่ง คือ กรณีคนไทยจำนวนมากประมาณ 6,000–7,000 คนที่ยังคงติดค้างอยู่ในพื้นที่ปอยเปต ทั้งที่ฝ่ายไทยได้อำนวยความสะดวกให้ชาวกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศสามารถเดินทางออกไปได้แล้ว แต่ฝ่ายกัมพูชากลับไม่ยอมเปิดด่านให้คนไทยเดินทางกลับประเทศไทย ทั้งที่ประเด็นนี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง หากแต่เป็นประเด็นด้านมนุษยธรรม

ฝ่ายไทยรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง เนื่องจากตามที่ได้มีการหารือกันไว้ ฝ่ายกัมพูชาระบุว่าจะเปิดด่านในช่วงบ่ายของวันนี้ แต่กลับเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดโดยไม่แจ้งเหตุผล นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่ข้อความของสมเด็จฯ ฮุน เซน ที่ระบุว่าจะระงับการเดินทางข้ามแดนระหว่างไทย-กัมพูชาทั้งหมด ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักกฎหมายมนุษยชน และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

(10) ตามที่มีข้อเสนอให้จัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ นั้น ฝ่ายไทยสนับสนุนและพร้อมเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว และจะใช้โอกาสการประชุมครั้งนี้ในการชี้แจงให้สมาชิกอาเซียนรับทราบถึงข้อเท็จจริง และจุดยืนของไทยในการหาทางออกเรื่องนี้


สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/share/v/17mtNAtiKQ/

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ