สรุปการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 19 ธันวาคม 2568 เวลา 11.00 น.

สรุปการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 19 ธันวาคม 2568 เวลา 11.00 น.

วันที่นำเข้าข้อมูล 19 ธ.ค. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 19 ธ.ค. 2568

| 44 view

สรุปการแถลงข่าวประจำสัปดาห์
โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ

วันที่ 19 ธันวาคม 2568 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องแถลงข่าว และทาง Facebook/TIKTOK/Youtube LIVE กระทรวงการต่างประเทศ

 

  1. พัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
    • การคุ้มครองคนไทยในกัมพูชา
  • ตามที่ฝ่ายกัมพูชาประกาศระงับการเดินทางข้ามแดนทางบก เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีหนังสืออีกหนึ่งฉบับถึงข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อแสดงข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยชี้ให้เห็นว่า มาตรการดังกล่าวเข้าข่ายการละเมิดกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) อนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 เกี่ยวกับการคุ้มครองบุคคลพลเรือนในเวลาสงคราม และพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุล ค.ศ. 1963 โดยไทยเรียกร้องให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกำชับให้ฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
  • การให้ความช่วยเหลือทางกงสุลแก่คนไทยเป็นภารกิจที่กระทรวงการต่างประเทศให้ความสำคัญอย่างยิ่งและเป็นลำดับต้น โดยเฉพาะในกรณีของคนไทยในกัมพูชา ทั้งการออกเอกสารเดินทาง การอำนวยความสะดวกในการเดินทางในกัมพูชา การหาที่พักชั่วคราว บัตรโดยสารเครื่องบิน และการประสานกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อให้ออกใบอนุญาตการออกนอกประเทศ (exit permit)
  • ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ และสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ได้ประกาศแจ้งเตือนคนไทยในกัมพูชาให้เดินทางกลับประเทศไทย ติดต่อคนไทยในเครือข่ายเพื่อสอบถามความปลอดภัย และแจ้งเตือนให้เดินทางกลับไทยอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน มีผู้เดินทางกลับไทยแล้วประมาณ 400 คน
  • สำหรับคนไทยที่อยู่ในเมืองปอยเปต สถานเอกอัครราชทูตฯ และสถานกงสุลใหญ่ฯ ได้มีหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา เพื่อคนไทยที่ประสงค์จะเดินทางกลับไทยสามารถกระทำได้ทางบก แต่ได้รับการปฏิเสธจากฝ่ายกัมพูชา ซึ่งหลังจากที่มีการประกาศระงับการเดินทางข้ามแดนทางบก สถานเอกอัครราชทูตฯ และสถานกงสุลใหญ่ฯ ได้ประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มคนไทยในเมืองปอยเปต และเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เดินทางกลับไทยทางเครื่องบิน ซึ่งสามารถติดต่อสอบถามเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ ได้ที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ (+855) 77 888 114 และสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ (+855) 86 608 999
  • กรณีที่มีข่าวเรื่องการจัดเที่ยวบินพิเศษ ในชั้นนี้ โดยที่สายการบินพาณิชย์ตามเส้นทางปกติยังมีที่นั่งว่างค่อนข้างมาก จึงจะให้สายการบินพาณิชย์เป็นทางเลือกแรก เนื่องจากมีความรวดเร็ว สะดวก และยืดหยุ่นในเรื่องเวลา โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานงานกับสายการบินอย่างต่อเนื่อง และหากมีความจำเป็นต้องใช้การเช่าเหมาลำก็สามารถดำเนินการได้เช่นกัน

 

1.2 การเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนโดยฝ่ายกัมพูชา

  • ฝ่ายกัมพูชายังคงเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนอย่างต่อเนื่อง โดยมี 2 กรณีล่าสุด ดังนี้

(1) กระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวหาว่า ไทยใช้เครื่องบินรบ F-16 ทิ้งระเบิด 2 ลูก ในเมืองปอยเปต ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศขอย้ำว่า เป้าหมายของการปฏิบัติการทางอากาศของฝ่ายไทย คือ การทำลายคลังขีปนาวุธที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในตัวเมืองปอยเปต ทุกภารกิจของฝ่ายไทยผ่านการกลั่นกรองหลายชั้น ทั้งด้านข่าวกรอง ด้านการทหาร และคำนึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อพลเรือนอย่างเคร่งครัด โดยมุ่งเป้าที่เป้าหมายทางการทหารที่มีการยืนยันแล้วเท่านั้น ในทางกลับกัน มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า ฝ่ายกัมพูชากลับเป็นฝ่ายที่ใช้หรือเคลื่อนย้ายกำลังและยุทโธปกรณ์ในพื้นที่ใกล้ชุมชนพลเรือน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อประชาชนของตนเอง และขัดต่อหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

(2) สื่อกัมพูชารายงานว่า ทหารไทยเสียชีวิตกว่า 5,000 นายจากการปะทะ และยังมีการนำเสนอภาพที่จัดทำขึ้นด้วย AI ซึ่งตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นความจริง แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสถิติที่กองทัพไทยรวบรวมโดยผ่านการตรวจสอบที่ถี่ถ้วน ฝ่ายไทยให้ความสำคัญและให้คุณค่ากับชีวิตของวีรชนของไทยที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องประเทศด้วยความหาญกล้า โดยมีการเยียวยาและมีการดูแลครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างเหมาะสม ในทางกลับกัน ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ให้คุณค่าใด ๆ กับทหารผู้เสียสละของประเทศตนเอง

 

  1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (Special ASEAN Ministers’ Meeting: Special AMM) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
  • ในวันที่ 22 ธันวาคม 2568 รัฐมนตรีฯ มีกำหนดจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยมีผู้แทนฝ่ายทหารร่วมอยู่ในคณะผู้แทนไทยด้วย
  • การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมในกรอบอาเซียน ซึ่งปัจจุบัน มาเลเซียยังคงเป็นประธานไปถึงสิ้นปี 2568 ก่อนที่ฟิลิปปินส์จะรับหน้าที่ประธานในวันที่ 1 มกราคม 2569
  • ตามที่รัฐมนตรีฯ แจ้งก่อนหน้านี้ว่า ไทยพร้อมเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ไทยไม่ได้ปิดกั้นการพูดคุยในกรอบอาเซียนและเชื่อมั่นว่า กลไกอาเซียนจะสามารถมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในเรื่องนี้บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงได้ โดยไทยจะใช้เวทีการประชุมครั้งนี้เพื่อชี้แจงให้สมาชิกอาเซียนทราบถึงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแจ้งจุดยืนของไทย โดยเฉพาะปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ (1) กัมพูชาจะต้องเป็นฝ่ายประกาศหยุดยิงก่อน (2) การหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาจะต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง และ (3) ฝ่ายกัมพูชาจะต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดกับฝ่ายไทยอย่างจริงจัง ซึ่งยังไม่มีการบรรลุเงื่อนไขใดจนถึงขณะนี้
  • ไทยจะยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความจริงใจและความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงจากฝ่ายกัมพูชา การจะหารือเพื่อนำไปสู่การหยุดยิงใด ๆ ขึ้นอยู่กับสองฝ่าย ซึ่งคือ ไทยและกัมพูชา ทั้งยังจะต้องมาจากการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ของฝ่ายทหาร ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะประสานงานกับฝ่ายความมั่นคงของไทยในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
  • หลักการพื้นฐานสำคัญในการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ของฝ่ายไทยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง คือ การยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ การปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และการป้องกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนไทย
  • ไทยปรารถนาสันติภาพ แต่จะต้องมาพร้อมกับความปลอดภัยของประชาชนและเป็นสันติภาพที่มีความยั่งยืน

 

  1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางเยือนญี่ปุ่นเพื่อหารือข้อราชการ (working visit)
  • ขณะนี้ รัฐมนตรีฯ อยู่ระหว่างเยือนญี่ปุ่นเพื่อหารือข้อราชการ (working visit) ระหว่างวันที่ 18 - 20 ธันวาคม 2568 โดยเมื่อวานนี้ (18 ธันวาคม 2568) รัฐมนตรีฯ พบหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับแนวทางการกระชับความสัมพันธ์ไทย - ญี่ปุ่น เพื่อร่วมกันรับมือกับความผันผวนเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของโลกและการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์แบบรอบด้านในทุกมิติ โดยได้หารือการเพิ่มพลวัตด้านการเมืองและความมั่นคง รวมถึงการผลักดันความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน นวัตกรรม การแพทย์ อวกาศ แร่หายาก และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะในโอกาสที่ไทยกับญี่ปุ่นจะฉลองครบรอบ 140 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2570 ขณะที่ญี่ปุ่นยินดีสนับสนุนไทยในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อสถานการณ์ในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา เมียนมา ทะเลจีนใต้ และคาบสมุทรเกาหลี
  • นอกจากนี้ รัฐมนตรีฯ พบหารือกับประธานกลุ่มมิตรภาพรัฐสภาญี่ปุ่น - ไทย และสมาชิกรัฐสภาญี่ปุ่น เพื่อชี้แจงสถานการณ์การเมืองภายในของไทย ซึ่งอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างเสถียรภาพ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ รวมถึงเห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีในด้านต่าง ๆ อาทิ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ วัฒนธรรม และการแลกเปลี่ยนระดับรัฐสภา เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ขณะที่รัฐมนตรีได้ย้ำท่าทีไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชาด้วย
  • วันนี้ (19 ธันวาคม 2568) รัฐมนตรีฯ มีกำหนดจะพบกับผู้แทนสหพันธ์ธุรกิจและกลุ่มนักธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) เพื่อหารือประเด็นความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ

 

สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/share/v/1MJeUV9aGG/

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ