สรุปการแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
วันที่ 10 ธันวาคม 2568 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องแถลงข่าว และทาง Facebook/TIKTOK/Youtube LIVE กระทรวงการต่างประเทศ
1. การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ประทะเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568
- กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือประท้วงถึงกัมพูชา 2 ฉบับ เรียกร้องให้กัมพูชายุติการคุกคามอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งยุติการกระทำยั่วยุต่าง ๆ
- เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบรรยายสรุปแก่คณะทูตและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทย
- เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ (UNSG) และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) แจ้งการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย หลังฝ่ายกัมพูชาเริ่มโจมตีไทยอย่างไม่เลือกเป้าหมาย เป็นเหตุให้ประชาชนรวมกว่า 400,000 คนต้องอพยพอย่างเร่งด่วน พร้อมชี้แจงความจำเป็นของไทยในการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง และปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทย รวมทั้งเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศร่วมกันกดดันกัมพูชาให้ยุติการยั่วยุและความเป็นปรปักษ์ในทุกรูปแบบ เพื่อให้สามารถกลับมาแก้ไขปัญหาร่วมกับไทยได้โดยสันติวิธี
- สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลกของไทยดำเนินการเชิงรุก ชี้แจงข้อเท็จจริงและจุดยืนของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ ให้แก่หน่วยงานในประเทศเจ้าบ้าน เพื่อให้ทั่วโลกได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันต่อสถานการณ์
- กระทรวงการต่างประเทศเดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงกับสื่อต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐมนตรีฯ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศหลักหลายสำนัก อาทิ CNN BBC CNA Al Jazeera Reuters และ The New York Times ซึ่งถือเป็นการดำเนินการเชิงรุกด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาคมระหว่างประเทศได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง รอบด้าน และทันเวลา เพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อมูลจากฝ่ายกัมพูชาที่เนินการมาอย่างต่อเนื่อง
- ตามที่มีสื่อต่างประเทศบางสำนักรายงานว่า ไทยตอบรับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิง เมื่อช่วงค่ำของเมื่อวานนี้ (9 ธันวาคม 2568) กระทรวงฯ ขอเรียนว่า ข่าวดังกล่าวไม่มีมูลความจริง นายกรัฐมนตรีไม่ได้ตอบรับต่อข้อเสนอใด ๆ จากฝ่ายมาเลเซีย
2. การลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (AOT-TH)
- เมื่อวานนี้ (9 ธันวาคม 2568) คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (AOT-TH) ลงพื้นที่ ณ โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปพัฒนาการของสถานการณ์การปะทะและข้อมูลกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลฯ จากเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 7 - 8 ธันวาคม 2568 ทั้งยังเข้าเยี่ยมและมอบกระเช้าให้กำลังใจแก่ทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บ
- ไทยยังคงยึดมั่นในความโปร่งใสของฝ่ายไทยเพื่อเปิดให้กลไกอิสระของอาเซียนเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลางทุกขั้นตอน
3. การดำเนินการในกรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา)
- ในที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 4 - 5 ธันวาคม 2568 ที่นครเจนีวา รัฐมนตรีฯ แจ้งข้อเท็จจริงและแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์เรื่องการวางทุ่นระเบิดใหม่ของกัมพูชา ที่ส่งผลให้ทหารไทยทุพพลภาพถาวรไปถึง 7 รายและบาดเจ็บอีกหลายราย รวมทั้งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบและแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกับไทย
- การวางทุ่นระเบิดใหม่ของกัมพูชาในเขตแดนไทยเป็นการละเมิดอนุสัญญาฯ อย่างชัดแจ้ง ไทยจึงได้ขอคำชี้แจงจากฝ่ายกัมพูชาผ่านเลขาธิการสหประชาชาติแล้ว ตามข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาฯ แต่คำชี้แจงของกัมพูชาไม่สมเหตุสมผล
- ที่ผ่านมา กัมพูชาบ่ายเบี่ยงเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกับฝ่ายไทยภายใต้กลไกทวิภาคีมาโดยตลอด ไทยจึงไม่มีทางเลือกอื่นและขอให้เลขาธิการสหประชาชาติอำนวยความสะดวก (ใช้ good offices) ในการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-finding mission) ที่เป็นอิสระ ซึ่งเป็นไปตามข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา เพื่อรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสัญญาฯ ที่เมื่อมีรัฐภาคีใดละเมิดพันธกรณีและยังไม่แสดงความรับผิดชอบ ก็ควรได้รับการตรวจสอบจากกลไกของอนุสัญญาฯ เพื่อให้ความจริงปรากฏ ซึ่งคำขอดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่มีการขอใช้กลไกดังกล่าวตั้งแต่อนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ ในชั้นนี้ จึงยังไม่สามารถบอกเงื่อนเวลาที่แน่ชัดได้ แต่ประเทศไทยจะเดินหน้าประสานงานกับหน่วยงานภายใต้อนุสัญญาฯ และสหประชาชาติเพื่อผลักดันการดำเนินการในส่วนนี้ให้กัมพูชารับผิดชอบกับการกระทำของตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน
- ระหว่างนี้ ประเทศไทยจะยังคงเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่อธิปไตยของไทยต่อไป เพื่อประกันความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด
4. การประกาศแจ้งเตือนคนไทยเกี่ยวกับการเดินทางและการพำนักในประเทศกัมพูชา
- ปัจจุบัน มีคนไทยในกัมพูชาประมาณ 600 - 1,200 คน โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ และสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ ติดต่อและแจ้งข้อมูลพัฒนาการของสถานการณ์ฯ ให้คนไทยในกัมพูชาทราบอย่างสม่ำเสมอ
- โดยที่สถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชามีความไม่แน่นอน กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมการกงสุล ออกประกาศแจ้งเตือนขอให้คนไทยในกัมพูชาที่ไม่มีเหตุจำเป็นในการพำนักในกัมพูชา พิจารณาเดินทางออกจากกัมพูชา และขอให้คนไทยที่ไม่มีเหตุจำเป็น งดเว้นการเดินทางไปกัมพูชาจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
- ประกาศดังกล่าวเป็นไปตามสถานการณ์ความปลอดภัยในพื้นที่ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนไทยเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือหรือมีเหตุฉุกเฉิน สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ หมายเลขโทรศัพท์ (+855) 7788114 สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ หมายเลขโทรศัพท์ (+855) 86608999 หมายเลขฉุกเฉินของกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล 0962161837 0961836736 และ 0645647573 Call Center กรมการกงสุล 025728442 (ตลอด 24 ชั่วโมง) หรือผ่าน Thai Consular application บนโทรศัพท์มือถือ
- การดำเนินการต่าง ๆ ของหน่วยงานไทยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ คือ เพื่อรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนและประกันความปลอดภัยของประชาชน
- ขอความร่วมมือสื่อมวลชนและประชาชนทุกท่านบริโภคข่าวสารด้วยความระมัดระวัง โดยการตรวจสอบข้อมูลกับแหล่งข่าวทางการเพื่อจะได้ส่งสารที่ถูกต้องไปยังประชาคมระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://fb.watch/DUTXB5un2r/